ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกวันนี้อาหารเสริมที่บำรุงไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นมีความจำเป็นเป็นอย่างมากสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ในปัจจุบันมีอาหารเสริมมากมายที่ออกมาวางขายในตลาด แต่คุณแม่หลายคนคงกำลังชั่งใจว่าควรจะเลือกอาหารเสริมชนิดไหนดี ทั้งยังมีหลากหลายข้อสงสัย เช่น ร่างกายของคนที่กำลังตั้งครรภ์นั้นควรรับประทานอาหารเสริมชนิดไหนได้บ้าง รับประทานไปแล้วจะมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่ วันนี้ทาง KT เองได้ทำการรวบรวม 7 วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับคนตั้งครรภ์ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับลูกน้อย อีกทั้งยังปลอดภัยสำหรับคุณแม่มาฝากกันค่ะ 1. DHA สำหรับคุณแม่มือใหม่ทั้งหลายคงจะเคยได้ยินอาหารเสริมชนิดนี้มาก่อนแล้ว เพราะเป็นอาหารเสริมที่นิยมมากตัวหนึ่งในหญิงตั้งครรภ์ค่ะ DHA หรือกรดไขมันที่มีชื่อเต็มว่า Docosahexanoic acid นั้นคือกรดไขมันสำคัญที่พบมากในสมองและจอประสาทตาของเด็กทารก ช่วยส่งเสริมด้านพัฒนาการของระบบประสาทและสมอง ตา และภูมิคุ้มกันของทารก โดยปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวันตามที่ WHO แนะนำคือ 200 mg/day และให้ไปตลอดจนถึงช่วงให้นมหลังคลอดเลยล่ะค่ะ โดยกรดไขมันตัวนี้จะพบได้มากในปลาประเภทต่างๆ เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาอินทรี ปลาสวาย เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถพบได้ในผักใบเขียวเช่นกันค่ะ 2. กรดโฟลิก (Folic acid) กรดโฟลิกนี้ต้องบอกว่ามีความจำเป็นต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างมากเลยล่ะค่ะ เพราะกรดตัวนี้เป็นกรดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตัวอ่อน ช่วยส่งเสริมให้ทารกมีการเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ และที่สำคัญนะคะ ยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะผิดปกติตอนแรกคลอดของทารกได้ แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้รับประทานตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์และต่อเนื่องไปตลอดช่วงการตั้งครรภ์เลยล่ะค่ะ โดยปริมาณที่แนะนำตาม RDA คือ 0.4-0.8 mg/day (400-800 mcg/day) ดังนั้น หากคุณแม่ท่านไหนที่กำลังหาซื้ออาหารเสริมชนิดนี้อยู่ก็อย่าลืมดูฉลากยาเพื่อคำนวณปริมาณที่ควรจะได้รับต่อวันด้วยนะคะ แต่ถ้าท่านไหนไม่สะดวกรับประทานแบบอาหารเสริม ก็สามารถหาซื้ออาหารประเภทผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว ไข่ ส้ม กล้วย มารับประทานแทนได้ค่ะ 3. ธาตุเหล็ก (Ferrous) สิ่งที่คุณแม่มือใหม่ทุกคนควรทราบคือการตั้งครรภ์สามารถลดการเก็บสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายของคุณแม่ได้ หากก่อนตั้งครรภ์ในร่างกายของคุณแม่มีปริมาณของธาตุเหล็กที่ค่อนข้างต่ำอาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดและทารกมีน้ำหนักตัวน้อยนะคะ นอกจากนี้ธาตุเหล็กยังช่วยในด้านป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจางได้อีกด้วย โดยปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำตาม RDA คือ 27 mg/day และสิ่งที่คุณแม่ควรรู้อีกอย่างเลยคือสารอาหารที่พบธาตุเหล็กได้มากที่สุดนั้นคือเนื้อแดงค่ะ นอกจากนี้เนื้อแดงยังให้โปรตีนและแร่ธาตุสังกะสี (zinc) อีกด้วยนะคะ เรียกว่ารับประทานชิ้นเดียวได้ประโยชน์หลายทางเลยค่ะ 4. ไอโอดีน (Iodine) อย่างที่รู้กันดีนะคะว่าไอโอดีนคือแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วจะได้จากการรับประทานอาหารค่ะ และทารกที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโตในครรภ์มารดานั้นก็มักจะมีความเสี่ยงมากที่สุดในการเกิดภาวะขาดไอโอดีน เมื่อขาดแร่ธาตุตัวนี้ไปอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการได้ยินของเด็ก ดังนั้น คุณแม่ทั้งหลายไม่ควรมองข้ามแร่ธาตุตัวนี้ไปนะคะ โดยปริมาณที่แนะนำในหญิงตั้งครรภ์คือ 175-200 mcg/day ซึ่งไอโอดีนนี้จะพบได้มากในอาหารทะเลค่ะ 5. แคลเซียม (Calcium) แร่ธาตุนี้หลายคนคงเคยได้ยินกันบ่อยๆว่าเด็กควรรับประทานนม จะได้ตัวโตสูงและแข็งแรงดังนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้กันใช่ไหมคะว่า แคลเซียมมีความจำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันของเด็กทารก ซึ่งพบได้มากในอาหารจำพวกนมและปลากระดูกอ่อน แต่…ปริมาณของแคลเซียมที่แนะนำต่อวันสำหรับคุณแม่ในวัยต่างๆนั้นต่างกันนะคะ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มค่ะ1) คุณแม่วัย 14-18 ปี ควรต้องได้รับแคลเซียม 1,300 mg/day2) คุณแม่วัย 18 ปีขึ้นไป ควรต้องได้รับแคลเซียม 1,000 mg/dayนอกจากนี้ การรับประทานแคลเซียมร่วมกับวิตามินดี จะช่วยทำให้สภาพกระดูกมีความแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้นค่ะ แต่....แคลเซียมมีข้อเสียคือสามารถทำให้ท้องผูกได้ดังนั้นในทางปฏิบัติแพทย์ส่วนใหญ่จึงมักจ่ายเป็นแคลเซียมเสริมชนิดเม็ดฟู่แทนแบบเม็ดธรรมดาค่ะ เนื่องจากแบบเม็ดฟู่จะสามารถละลายน้ำและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าแบบเม็ดธรรมดาทั่วไป อาการท้องผูกจึงน้อยกว่า 6. วิตามินดี (Vitamin D) มักจะได้ยินกันบ่อยๆใช่ไหมล่ะคะว่าถ้าอยากได้วิตามินดีให้ไปตากแดดนะ แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่าวิตามินดีช่วยในเรื่องอะไร KT เองเชื่อว่าคุณแม่มือใหม่หลายคนคงยังไม่ค่อยคุ้นหูกับวิตามินตัวนี้นัก แต่จริงๆแล้วมีความสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์พอสมควรเลยทีเดียวค่ะ วิตามินดีเป็นวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่น้อยกินไปจะส่งผลให้ทารกหลังหลอดมีภาวะกระดูกนิ่มและนำไปสู่การรบกวนการเจริญเติบโตของกระดูกในวัยเด็กได้ค่ะ โดยปริมาณที่แนะนำคือ 600 IU/day (15 mcg/day) ส่วนในเรื่องของอาหารนั้นพบว่า มีอาหารอยู่ไม่กี่ประเภทที่มีวิตามินดีอยู่ หนึ่งในนั้นคือน้ำมันปลา (Fish oil) ค่ะ แต่แหล่งของการได้รับวิตามินดีที่ดีที่สุดคือ การได้รับแสงแดด นะคะ 7. วิตามินบีหก (Vitamin B-6) มาถึงวิตามินตัวสุดท้ายกันแล้วนะคะ นั่นคือวิตามินบีหกหรือ pyridoxine นั่นเองค่ะ คุณแม่หลายๆท่านคงจะเคยรับประทานกันไปแล้วนะคะสำหรับวิตามินตัวนี้ เนื่องจากในทางการแพทย์นั้นนำมาใช้ในการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนของหญิงตั้งครรภ์ค่ะ แต่สิ่งที่วิตามินชนิดนี้ทำได้ ไม่ได้มีแค่นั้นนะคะ โดยวิตามินชนิดนี้ยังมีความสำคัญในเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการ metabolism ของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วยค่ะ โดยขนาดที่แนะนำคือ 1.9 mg/day หากคำนวณแล้วคิดว่ายังได้รับไม่พอ KT แนะนำว่าให้รับประมาณผักให้มากๆนะคะเพราะวิตามินบีหกนี้สามารถพบได้ในผักเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ทั้งหมดนี้เป็น 7 วิตามินและแร่ธาตุที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ แต่นอกจากจะรับประทานตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว คุณแม่ทุกท่านก็อย่าลืมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่กันด้วยนะคะ เพราะการที่ลูกน้อยจะเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงได้นอกจากจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นแล้ว อาหารก็สำคัญเช่นเดียวกันค่ะ ดังนั้น คุณแม่ทั้งหลายควรใส่ใจอย่างรอบด้านเพื่อพัฒนาการที่สมวัยของลูกน้อยนะคะ แหล่งอ้างอิงข้อมูล1. https://www.webmd.com/baby/guide/prenatal-vitamins#12. https://www.nhs.uk/pregnancy/keeping-well/vitamins-supplements-and-nutrition/ เครดิตรูปภาพภาพปก : ภาพถ่ายโดย freestocks.org จาก Pexelsภาพที่ 1 : ภาพถ่ายโดย Pixabay จาก Pexelsภาพที่ 2 : ภาพถ่ายโดย Marta Branco จาก Pexelsภาพที่ 3 : ภาพถ่ายโดย Lukas จาก Pexelsภาพที่ 4 : ภาพถ่ายโดย Terje Sollie จาก Pexelsภาพที่ 5 : ภาพถ่ายโดย Charlotte May จาก Pexelsภาพที่ 6 : ภาพถ่ายโดย Pietro Jeng จาก Pexelsภาพที่ 7 : ภาพถ่ายโดย Wendy Wei จาก Pexels