รีเซต

Perles d'été ไข่มุกแห่งคิมหันต์ คอลเลกชันใหม่จาก Van Cleef & Arpels

Perles d'été ไข่มุกแห่งคิมหันต์ คอลเลกชันใหม่จาก Van Cleef & Arpels
pommypom
28 มกราคม 2566 ( 17:35 )
383

     ความดื่มด่ำประทับใจที่ Van Cleef & Arpels มีให้กับทัศนียภาพตระการตาของท้องถิ่นเมอดิเตอร์เรเนียน นํามาซึ่งงานออกแบบเครื่องประดับชั้นสูงสีสดสะดุดตาจากการรังสรรค์หลากเฉดแห่งแสงตะวันและท้องทะเลมาร้อยเรียงลงสู่ “ไข่มุกแห่งคิมหันต์” หรือ Perles d’été (แปร์ล เดเต) ประกอบไปด้วยผลงานอันทรงเอกลักษณ์ถึงสิบสองชิ้น จุดประกายจินตนาการถึงจุดบรรจบระหว่างผืนฟ้ากับแผ่นน้ำโดยอาศัยรูปทรงกลมกลึงสุดละเมียดละไมจากคอลเลคชันเครื่องประดับ Perlée เป็นแรงบันดาลใจร่วมกับอิทธิพลทางสัณฐานทรวดทรง และเฉดสีที่ขัดแย้งของบรรดาเครื่องประดับยอดนิยมระหว่างทศวรรษ 1960s และ 1970s รวมถึงเครื่องประดับค็อกเทล (เครื่องประดับซึ่งอาศัยอัญมณี หรือรงคศิลาที่ดึงดูดสายตาด้วยสีและขนาด) ด้วยเหตุนั้น ผลงานเหล่านี้จึงหาได้ต่างอะไรจากบทระดมรัตนชาติเลอค่ากับรงคศิลาหลากสีมาใช้ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความหาญกล้าท้าทายได้อย่างงามสง่าท่ามกลางประกายสีระยับแสง สีฟ้าเจิดจ้าของหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์ตัดกับสีเหลืองสุกสกาวของบรรดาลูกปัดทองบนตัวเรือนสัณฐานตระการตา และการนําวัสดุต่างๆ อันเต็มไปด้วยความพิเศษเหนือธรรมดา ล้วนปรากฏขึ้นจากการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะ และความชําานาญหลากแขนง ทั้งสร้อยคอเส้นสั้น, สายสร้อยเส้นยาว, กําาไลข้อมือ และแหวนล้วนเต็มไปด้วยความวิจิตรบรรจงดุจบทกวีรัตนชาติซึ่งถูกรจนาด้วยพรรณนาโวหารขับขานถึงเสน่ห์ความงามแห่งทิวทัศน์ยามคิมหันต์ฤดูได้อย่างลึกซึ้ง

 

 

เลอค่าเพราะหายาก

     ความนิยมชมชอบที่ Van Cleef & Arpels มีต่อบรรดารงคศิลาหลากสี รวมถึงโลหะธาตุตระกูลสูง ถูกส่งผ่านงานออกแบบเครื่องประดับชั้นสูง “ไข่มุกแห่งคิมหันต์” หรือ Perles d’été อันก่อกําาเนิดขึ้นจากชิ้นงานล้ำค่าซึ่งเมซงเสาะหามาไว้ในครอบครองมาตลอดหลายปี โดยมีหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์ หนึ่งในรัตนชาติอันเป็นที่รักยิ่งของ Van Cleef & Arpels มาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 มารับบทดาวเด่นของคอลเลคชัน ดังจะเห็นได้จากสิบผลงานจากเครื่องประดับทรงเอกลักษณ์ทั้งสิบสองชิ้น ที่ใช้หินไข่นกการเวกคุณสมบัติพิเศษเหนือสามัญถึงสามชุดซึ่งขุดพบได้ในรัฐแอริโซนาแห่งสหรัฐอเมริกา

     รงคศิลาหลังเบี้ยสีฟ้าสด 14 เม็ดชุดแรกเผยความหมดจดงดงามปราศจากริ้วรอยตําหนิใดๆ ผ่านผิวสัมผัสที่เรียบเนียน ซึ่งนักอัญมณีศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญของเมซงได้ทําการเลือกสรรโดยให้ความสําคัญแก่เฉดสีอันสดสว่างเสมือนท้องฟ้าแดดจ้ายามไร้ทิ้วริ้วเมฆปรากฏ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสม่ำเสมอ กลมกลืน ขณะเดียวกันก็ช่างอ่อนโยนจนชวนให้รําลึกถึงทัศนียภาพแห่งเมอดิเตอร์เรเนียน และหลังผ่านกระบวนการขัดผิวอย่างพิถีพิถันเพื่อขับประกายเปล่งปลั่งสุกสกาว ก็มาสถิตเด่นเป็นสง่าอยู่บนสร้อยคอสองเส้น, กําไลข้อมือสองวงกับแหวนสี่วงในคอลเลคชันนี้ สําาหรับงานเจียระไนหลังเบี้ย 19 เม็ดต่างขนาดชุดที่สอง ถูกนํามาขึ้นตัวเรือนไล่ลำดับขนาดลดหลั่นอย่างต่อเนื่องอยู่บนสร้อยคอ “ละอองหมอกสีเทอร์คอยซ์” Brume de turquoise (บรูม เดอ ตูรกัวซ์) ประดับจี้ที่สามารถปลดออกได้ ภายใต้สายตาเฉียบคมทางการเทียบสีให้สอดคล้องเสมอกันอย่างลงตัว รัตนชาติเหล่านี้จรัสประกายสีฟ้าสดสะกดสายตามาจากเนื้อสัมผัสเงาวาวราวกระจกอันอาศัยความละเอียดละออของกรรมวิธีขัดผิวทั้งสองด้านอย่างพิถีพิถัน ส่วนชุดสุดท้ายคือลูกปัดหินไข่นกการเวก 39 เม็ดหลากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจาก 10 ถึง 23 มิลลิเมตร ซึ่งร่วมกันก่อความกลมกลืนเชิงมิติให้แก่ชิ้นงาน “แสงแรกแห่งคิมหันต์” Lueur d’été (ลูเออร เดเต) สร้อยคอยาวซึ่งสามารถพลิกแพลง ดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้

     นอกจากนั้น คอลเลคชันนี้ยังเป็นเวทีรองรับความงดงามอันโดดเด่นเป็นหนึ่งของแก้วประพาฬสีสด บนสร้อยคอ “แสงแรกแห่งคิมหันต์” ลูกปัดหินอินทรีย์อันถือกําเนิดจากปะการังผ่านการเจียระไนกลมกลึงอย่างสม่ำเสมอจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 จนถึง 11 มม.เหล่านี้ ต่างเผยมิติแห่งเฉดส้มอมแดงเข้มสุกสกาวในขณะที่สร้อยคอยาว “อรุณรุ่งกลางคิมหันต์” Crépuscule d’été (เครปูสกูล เดเต) พร้อมสร้อยข้อมือเข้าชุดสะกดทุกสายตาด้วย “กระดุม” หินประพาฬสีขาวน้ําานมสองขนาดเอาฬาร อันเป็นผลผลิตจากกระบวนการเพาะเลี้ยงเพื่อความยั่งยืน ความประณีตแม่นยําาในการจับคู่ความกลมกลืนทางเฉดสีของอินทรีย์ธาตุต่างแหล่งที่มาทั้งสองชุด ช่วยทวีความเลอค่าให้แก่เครื่องประดับเหล่านี้อย่างยากจะหาได้เปรียบ

 

 

สีกับสัณฐาน

     เพื่อจุดประกายจินตนาการให้ปรากฏทัศนียภาพแห่งเมอดิเตอร์เรเนียนขึ้นในใจ ผลงานคอลเลคชันนี้ได้อาศัยแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากแบบฉบับเชิงสุนทรียศิลป์ของเครื่องประดับ “ค็อกเทล” (cocktail jewelry) ซึ่งสันนิษฐานว่ามีจุดเริ่มต้นในอเมริการะหว่างทศวรรษ 1930 ด้วยสไตล์การออกแบบซึ่งให้ความสําคัญแก่สัณฐานอลังการตระการตาของรัตนชาติ หรืออัญมณีชิ้นเด่น โดยเฉพาะหัวแหวนยอดนิยมของเหล่าสุภาพสตรีผู้งามสง่าแห่งวงสังคมชั้นสูงเวลาไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ยามค่ำคืน ขณะที่เธอทั้งหลายยกแก้วเครื่องดื่มค็อกเทลขึ้นจรดริมฝีปาก ทุกสายตาในห้องจัดงานต่างตะลึงงันยามจับจ้องมองประกายสีเจิดจรัสบนเรียวนิ้วของเธอ

     เครื่องประดับค็อกเทลกลับมาอยู่ในกระแสแฟชั่นอีกครั้งตลอดทศวรรษ 1960 จนถึง 1970 อันเป็นยุคสมัยแห่งวิถีชีวิตเสรี และจิตวิญญาณหาญกล้า ท้าทายขนบสังคมดั้งเดิม ด้วยการใช้สัณฐานขนาดมโหฬารท่ามกลางลูกเล่นสีตัดอย่างฉูดฉาดบาดตา และทวีความโดดเด่นด้วยรูปทรงเชิงสถาปัตย์กับประกายเจิดจรัสร่วมกันถ่ายทอดความเบิกบาน สดใสผ่านอัญมณีเลอค่ากับรงคศิลานานาเฉด รวมถึงอินทรีย์วัสดุจากธรรมชาติ ไม่ต่างอะไรจากเครื่องดื่มค็อกเทลที่ปรุงขึ้นจากส่วนผสมสารพัน ทั้งน้ำผลไม้, แอลกอฮอล์ และไซรัปนานารส เครื่องประดับค็อกเทลมอบความหลากหลายผ่านลูกเล่นสนุกสนาน อย่างการใช้เพชรจรัสประกายวิบวับร่วมกับสีฟ้าสว่างงามเงาของหินไข่นกการเวก และสีน้ำเงินเข้มล้ำลึกของพลอยสมุทรลาพิซ ลาซูลิ หรือสีม่วงสดกระจ่างของพลอยดอกตะแบกอะเมธิสต์ตัดกับโทนสีส้มลูกพีชของแก้วประพาฬผิวอัปสร (angel skin coral เป็นปะการังสีเนื้ออมชมพูเหมือนผิวผุดผาดของสตรีวรรณะสูง) ในขณะที่โมราเขียวขจี, นิลกาฬดําขลับ กับลูกปัดปะการังสีส้มอมชมพูสด ถูกระดมมาขึ้นตัวเรือนเดียวกัน เผยความลงตัวจากขั้วต่างทางความขัดแย้งได้อย่างน่าตื่นตา ส่วนคอลเลคชันเครื่องประดับชั้นสูง “ไข่มุกแห่งคิมหันต์” นี้ ทั้งแหวน,สร้อยคอ และกําไลข้อมือ ต่างทอประกายอบอุ่นเรืองรองราวกับถูกฉาบด้วยสกาวแสงสีน้ำผึ้งแห่งอัสดง ด้วยการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะความชํานาญแขนงต่างๆ ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์สุดท้าทายเพื่อรังสรรค์บรรดาสัญลักษณ์ทางงานออกแบบศิลปะยุคประชานิยมให้มีความหรูหราและสดใหม่ไปพร้อมกัน

 

 

สร้อยคอ “ละอองหมอกสีการเวก” Brume de turquoise พร้อมจี้ปลดออกได้

 

 

     หินไข่นกการเวก หรือเทอร์คอยซ์เจียระไนทรงหลังเบี้ยต่างขนาด 19 เม็ด ได้รับการจัดตําแหน่งไล่ลําดับลดหลั่นจนคล้ายกับเป็นฟองอากาศ หรือละไอน้ำลอยละล่องล้อแสงเรืองรองในม่านหมอกประดับความงามสง่าลงสู่ระหงคอ เฉดสีฟ้าสดสะดุดตาจรัสประกายเงางามจากสัณฐานโอฬารที่ผ่านกระบวนการขัดผิวเรียบเนียนจนขึ้นเงาราวกระจกเผยให้ประจักษ์ซึ่งคุณสมบัติสุดพิเศษเหนือสามัญของรงคศิลาหายากชุดนี้ ความกลมกลืนเสมอกันของเฉดโทนปลุกจินตนาการถึงทัศนียภาพท้องทะเลสงบนิ่งภายใต้แผ่นฟ้ากว้างไกลไร้ทิวเมฆ บรรดาโมทิฟที่ถูกนําามาร้อยเรียงเป็นสายสร้อยแต่ละชิ้น ล้วนโดดเด่นสะกดอารมณ์จากลูกเล่นตัดเฉดระหว่างรัตนชาติสีสดท่ามกลางวงล้อมลูกปัดทองกลมกลึงล้อแสงสุกสกาววาววามหลากขนาด รังสรรค์ขึ้นตามธรรมเนียมแบบฉบับของเครื่องประดับ Perlée โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จี้ทองคําาสลักลายที่สามารถปลดออกได้จรัสรัศมีส่องสว่างอยู่ตรงตําแหน่งฐานคอเหนือเนินทรวง

     โมทิฟเรือนทองสลักลายเส้นราวแถบแสงรัศมีตะวันสาดส่องมาจากวงล้อมรอบหินไข่นกการเวกทรงหลังเบี้ยสองขนาด ให้ความรู้สึกราวกับเป็นดวงรวีกลางฤดูคิมหันต์ ในขณะที่งานประดับเพชรสลับไพลินก่อลีลาดุจละอองน้ำกระเซ็นสาดซัดมาเกาะตัวอยู่บนแผ่นจี้ทรงเหรียญตรา บรรดาลูกปัดทองตัวแทนความสุขสดใสถูกนํามาใช้เร่งระดับประกายแสงสะท้อนบนโครงสร้างตัวเรือนฉลุโปร่งที่ช่วยเผยความงดงามของผิวพรรณผุดผ่องลออตาอยู่เบื้องล่าง ลูกเล่นการจัดสัณฐานลดหลั่นของบรรดาลูกปัดทอง ตลอดจนมิติอันหลากหลายของมวลรัตนชาตินําามาซึ่งภาพชวนฝันของประกายวิบวับสะท้อนตัวขึ้นมาจากพลิ้วคลื่นบนผืนน้ําา ส่วนความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียดลําาดับสุดท้ายอยู่ที่งานร้อยลูกปัดทองสามแถวสําาหรับใช้เป็นข้อต่ออําาพรางกลไกตัวกลัดสายสร้อยด้านหลังได้อย่างแนบเนียน

     วิริยะอุตสาหะที่ทุ่มเทให้กับการทําางานกว่า 800 ชั่วโมง ส่งผลให้สร้อยคอ “ละอองหมอกสีการเวก” Brume de turquoise (บรูม เดอ ตูรกัวซ์) เส้นนี้ สามารถถ่ายทอดจินตนาการถึงทิวทัศน์แห่งเมอดิเตอร์เรเนียนอันรุ่งโรจน์โชติช่วงภายใต้ดวงตะวันสาดแสงอยู่กลางหลากเฉดสีแห่งผืนทิฆัมพรได้อย่างสง่างาม

 

 

แหวน “กลางวงคลื่น” Onde de turquoise

     ระลอกคลื่นบนพื้นน้ำสีฟ้าสดแห่งท้องทะเลเมอดิเตอร์เรเนียนขยายวงแผ่กว้างออกไปจากชายฝั่งสีทอง ต้องแสงตะวันเจิดจ้าทอประกายวิบวับไปตามจังหวะกระเพื่อมไหวกลางฤดูคิมหันต์ ดุจเป็นภาพฝันอันปรากฏจากความวิจิตรบรรจงที่ใช้เรียงร้อยทุกองค์ประกอบของตัวเรือนรองรับหัวแหวนหินไข่นกการเวกเจียระไนทรงหลังเบี้ยเม็ดเดี่ยวท่ามกลางกรอบล้อมทองคําาลายขดริ้วจําาลองแบบขดคลื่นอย่างอ่อนช้อย เนื้อสีกลมกลืนสม่ำเสมอของรงคศิลาผิวเนียนจรัสประกายเจิดจ้าจากสัณฐานอันชวนตื่นตะลึง แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะตัวอันโดดเด่นเป็นหนึ่งอย่างชัดเจนอยู่ในใจกลางความอ่อนช้อยของเขี้ยวหนามเตยที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขดวงลูกคลื่นต่างขนาดไล่เรียงอย่างต่อเนื่องเสมือนสถาปัตยกรรมลายคิ้วนูนประดับขอบเพดานของตัวเรือนทองคําาสีเหลือง ซึ่งผ่านการขัดผิวขึ้นเงาอย่างพิถีพิถันจนกลายเป็นจุดกําาเนิดแสงก่อวงรัศมีเรืองรองลูกเล่นเดินขอบล้อมยึดหินไข่นกการเวกนี้ เป็นวิวัฒนาการต่อยอดมาจากงานออกแบบโค้งมนกลมกลึงของเครื่องประดับ “ไข่มุกทอง” Perlée โดยอาศัยการพลิกแพลงสัดส่วนให้ยืดความยาวแนวตั้งลงสู่ตัวเรือนวงแหวนก่อมิติลายนูนโดยรอบเมื่อมองจากด้านข้าง สุนทรียศาสตร์เชิงสถาปัตย์ ซึ่งถูกนําามาใช้สร้างความกลมกลืนระหว่างขั้วต่างทางความขัดแย้งของวัสดุ และสีสัน คือบทสะท้อนถึงธรรมเนียมงานออกแบบแหวน“ค็อกเทล” ยอดนิยมในช่วงทศวรรษ 1960 จนถึง 1970 ลออแสงสุกสกาวเหลื่อมลําาดับเฉดโทนจุดประกายอารมณ์อย่างอ่อนหวาน ชวนให้นึกถึงวันฟ้าใสกลางฤดูร้อน หรือบรรยากาศย่ำสนธยาริมทะเล

 

“แสงแรกแห่งคิมหันต์” Lueur d’été สร้อยคอยาวดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้

     สุนทรียศาสตร์ทางการออกแบบอันคํานึงถึงสัมผัสเนียนละไมจากความอ่อนช้อยเชิงสัณฐาน และรูปทรง ถูกหลอมรวมเข้ากับจังหวะสลับสีที่ขัดแย้งระหว่างบรรดารงคศิลา “แสงแรกแห่งคิมหันต์” หรือ Lueur d’été (ลูเออร์ เดเต) สร้อยคอยาวซึ่งสามารถพลิกแพลง ดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้เส้นนี้ คือบทสะท้อนถึงหลากแรงบันดาลใจจากทศวรรษ 1920 และ 1970 อันล้วนเป็นยุคสมัยที่นิยมเครื่องประดับสายยาว และแฟชันการแต่งกายซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณเสรีชน ผลงานชิ้นนี้ คือบทระดมลูกปัดหินไข่นกการเวกต่างขนาดถึง 39 เม็ดนํามาเรียงสลับสีกับประกายล้อแสงละมุนตาของพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิตัดกับสีแดงโชติช่วงดังดวงเพลิงของลูกปัดแก้วประพาฬโดยอาศัยความพิถีพิถันอย่างยิ่งยวดในการเลือกสรรจับคู่สีให้ตรงกันอย่างกลมกลืนก่อนนําาไปร้อยด้ายเกลียวไหมเทคนิคมัดปมคั่นตามธรรมเนียมดั้งเดิม และเพิ่มเติมเสริมความโดดเด่นด้วยการจัดสัดส่วนเชิงอสมมาตร ทวีความหรูหราจากประกายระยิบระยับของเพชรลูกตัดสีกับลูกปัดทองต้องแสงสุกสกาวราวรัศมีตะวันบนตัวเรือนโมทิฟ ซึ่งอาศัยความละเมียดละไมในการออกแบบเครื่องประดับ Perlée เป็นต้นแบบการรังสรรค์ก่อนนํามาคั่นสลับสับหว่างเพื่อเร่งระดับความสว่างสาดส่องสู่พื้นผิวที่ผ่านการขัดเนียนจนขึ้นเงาของบรรดาลูกปัดทรงกลมทั้งหลายเหล่านั้น

     ลีลาล้อแสงไล่เฉดเหลื่อมโทนตลอดเส้นตัวเรือนสร้อยคอต่อเนื่องลงสู่พู่ระย้าร้อยพลอยน้ำสมุทรตัดสีแดงประพาฬทิ้งสายแกว่งไกวลงมาจากฐานจี้ลูกปัดทองฝังเพชรรองรับหินไข่นกการเวก อันอําานวยต่อการปลดจี้พลิกแพลงรูปแบบเครื่องประดับ นอกจากนั้น ยังมีกลไกกลัดซ่อนสองตําาแหน่งบนสายสร้อยเพื่อมอบความเพลิดเพลิน สนุกสนานให้แก่ผู้สวมใส่ผ่านการใช้จินตนาการเสรีอย่างเต็มที่ยามดัดแปลงวิธีสวมใส่ ไม่ว่าจะแยกชิ้นสร้อยคอยาวไปเป็นสร้อยคอสั้นได้อีกสองเส้น: เส้นแรกเป็นสร้อยเทอร์คอยซ์ล้วน ส่วนอีกเส้นคือสร้อยลูกปัดหลากสี

 

 

กําไลข้อมือ “กระแสธารสู่ปากอ่าว” Delta de turquoise

     ทัศนียภาพของกระแสธารที่ไหลระเรื่อยต่อเนื่องมาจนถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากอ่าวของกําาไลข้อมือ Delta de turquoise (เดลตา เดอ ตูรกัวซ์) ได้รับการพรรณนาเยี่ยงรจนาโวหารผ่านงานฝังเพชรเรียวแถวทอประกายระยิบระยับตลอดวงกําาไลดุจแม่น้ำหลากสายทอดยาวมาบรรจบร่วมกันก่อนพัดออกสู่หินไข่นกการเวกเจียระไนหลังเบี้ยขนาดตระการตาต่างเวิ้งน้ําาทะเลสีฟ้าริมหาดทรายลูกปัดทอง รงคศิลาเม็ดเดี่ยวเผยความเลอค่าบนข้อมือท่ามกลางการยึดตัวโดยเขี้ยวหนามเตยทองคําาขัดผิวขึ้นเงาราวกระจกที่แทรกอยู่ระหว่างร่องลายนูนของโมทิฟทองคําาเฉดเหลืองจําาลองความงามของระลอกริ้วพลิ้วคลื่นระยับประกายริมหาดทราย ซึ่งได้รับอิทธิพลทางการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมคิ้วนูนประดับผนังอาคาร อันกลายเป็นหนึ่งในรายละเอียดแบบฉบับทางการตกแต่งเครื่องประดับของเมซงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1940 นี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชอบที่ Van Cleef & Arpels มีต่อศิลปะเครื่องทองเป็นพิเศษ และถูกนํามาใช้อย่างวิจิตรบรรจงบนตัวเรือนเพื่อทวีความเจิดจ้าทางเฉดสีของหินไข่นกการเวก นอกจากนั้น ลูกเล่นเร่งแสงเพิ่มระดับความสว่างด้วยการใช้เพชรลูกทรงกลมสองเม็ดประดับขนาบทั้งสองด้านของสัณฐานหลังเบี้ย ยังเป็นจุดบรรจบทางความต่อเนื่องจากประกายสุกสว่างพร่างพรายของงานฝังเพชรเรียงแถวโค้งสองสายท่ามกลางลูกปัดทองขนาบข้างบนโครงสร้างเปิดโปร่งที่ช่วยลดน้ําาหนักของตัวเรือน ก่อลีลาเผยผิวผุดผาดผ่านช่องว่างระหว่างเส้นลายอย่างแยบยล

กําไลข้อมือ “ภูผา” Estérel

     ด้วยแรงบันดาลใจจากเทือกเขาไม่ปรากฏชื่อ กําไลภูผาหรือ Estérel (เอสเตเรล) อาศัยความกล้าสุดท้าทายในงานออกแบบเพื่อถ่ายทอดความงดงามตระการตาของทิวเขาแห่งริเวียราผ่านงานเจียระไนหลังเบี้ยโค้งสูงให้หินไข่นกการเวกตระหง่านตัวขึ้นจากฐานตัวเรือนประติมากรรมทองคําลายริ้วจําลองแบบคิ้วนูนประดับขอบผนังอาคาร สันนูนสลับร่องลึกเรียงร้อยต่อเนื่อง และลดหลั่นไล่ลําาดับเหลื่อมซ้อนอย่างมีชั้นเชิงเป็นวงล้อมรอบรงคศิลาเม็ดเดี่ยวนั้น ถือกําเนิดจากเทคนิคหล่อแบบไขแว็กซ์เขียวเพื่อให้โครงสร้างตัวเรือนโลหะเลอค่าก่อผลลัพธ์จุดประกายจินตนาการถึงภาพระลอกคลื่นลาวาหลอมเหลวซึ่งตกผลึกแข็งตัวอย่างเฉียบพลัน

     เส้นลายต่อเนื่องอย่างเป็นระเบียบ ร่วมกับยอดปลายของขดริ้วคิ้วนูน ซึ่งอาศัยต้นแบบมาจากงานตกแต่งลูกปัดทองของเครื่องประดับ Perlée ช่วยทวีความโดดเด่นให้แก่สัณฐานโค้งกลมกลึงของงานเจียระไนหลังเบี้ยเผยความงามของเนื้อสีล้ำลึกราวเวิ้งน้ำทะเลเฉดฟ้าสดอย่างหาได้ยากยิ่งสําาหรับหินไข่นกการเวก และหลังจากกระบวนการขัดผิวหลายขั้นตอน ความขัดแย้งทางสีสันของสองวัสดุยิ่งทวีประกายจรัสจ้า บทบรรจบระหว่างผิวสัมผัสกับลีลาสะท้อนแสงของผลงานชิ้นนี้ คือตัวแทนรสนิยมชมชอบของเมซงอันมีต่อการนํางานออกแบบหลากรูปทรงมาใช้กับวัสดุธรรมชาติได้อย่างแยบคาย

 

 

สร้อยคอ “คาบสมุทร” Cap azur ดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้

     สายสร้อย “คาบสมุทร” หรือ Cap azur (กัปปาซูร) คือบทสะท้อนถึงบรรยากาศ และภูมิประเทศอันสลับซับซ้อนด้วยความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ผ่านงานประกอบโมทิฟรูปทรงแผ่นจานฝังเพชรระยับแสงท่ามกลางลูกปัดทองคําซึ่งผ่านการขัดผิวอย่างพิถีพิถัน ด้วยลูกเล่นการออกแบบเชิงสถาปัตย์ อํานวยให้โมทิฟตัวเรือนทองเปิดโปร่งแต่ละแผ่นมีรายละเอียดที่แตกต่าง และเมื่อนํามาเรียงร้อยต่อกัน พลันก่อรูปแบบจําลองวิถีโคจรของดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นตําาแหน่งเคลื่อนคล้อยของพระอาทิตย์ หรือลักษณะผันเปลี่ยนจากจันทร์เสี้ยวในคืนข้างแรมไปจนถึงจันทร์เต็มดวงในคืนข้างขึ้น

     ณ จุดบรรจบของวิถีโคจรตลอดโครงสายสร้อย คืองานลอยตัวของจี้ลูกปัดทองประดับเพชรรองรับการฝังหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์เจียระไนทรงวงรีหลังเบี้ยสองเม็ดไล่สัดส่วนอลังการดุจจําลองทัศนียภาพเวิ้งน้ำทะเลกระจ่างใสที่โอบล้อมคาบสมุทรหรือแหลม “กลางทะเล” ได้อย่างละเมียดละไม อีกครั้งที่ตัวเรือนลูกปัดทองฝังเพชรล้อมของโมทิฟทั้งสามแผ่นถูกนํามาใช้ต่างหยดน้ำล้ำเลอค่ากําลังหยาดตัวลงมาจากห้วงมหรรณพเบื้องบน และด้วยกลไกตัวกลัดแบบกดอันแยบยล อํานวยให้สร้อยคอเส้นนี้สามารถดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้หลายลักษณะ อาทิเช่นการปลดจี้เทอร์คอยซ์ออก พลันกลายเป็นสร้อยปลอกคอทองคําฝังเพชรสุดโฉบเฉี่ยว ความหลากหลายของบรรดาวัสดุสูงค่ากับสีสันจรัสประกายสะกดสายตาที่ใช้กับผลงานชิ้นนี้ คือบทประกาศความเป็นเลิศเชิงหัตถศิลป์ทางการสรรค์สร้างเครื่องประดับชั้นสูงอันถือกําเนิดขึ้นได้ก็จากเพียงห้องผลิตงานแผนกต่างๆ แห่ง Van Cleef & Arpels เพียงเท่านั้น

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง