วิธีป้องกันโรคหุนหันพลันแล่น (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : ATDSPHOTO / pixaba ทุกวันนี้เราจะพบเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันมากมายที่เกิดจากโรคขาดคุณธรรมโดยเฉพาะโรคหุนหันพลันแล่น เช่น ขับรถผิดพลาดคลาดเคลื่อนกันนิดหน่อยก็ทะเลาะวิวาทกระทั่งทำร้ายกันถึงแก่ชีวิต พ่อแม่ห้ามออกบ้านในวันหยุดเพราะลูกขอไปเที่ยวที่เสี่ยงอันตราย ไม่พอใจพ่อแม่จึงหุนหันพลันเล่นขับรถออกบ้านจนเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเกือบถึงแก่ชีวิต ทะเลาะกับแฟนหนุ่มบ่อยครั้งจนแฟนขอเลิกสุดท้ายน้อยใจแฟน ตัดสินใจแขวนคอตายเสียชีวิต หึงโหดระแวงภรรยานอกใจ จึงตัดสินใจวางยาพิษทั้งลูกและภรรยาจากนั้นจึงกรอกยาพิษฆ่าตัวตายตาม เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดจากอารมณ์หุนหันพลันแล่นจากการขาดความยับยั้งชั่งใจทั้งสิ้น และกรมสุขภาพจิตรายงานว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายในปี 2561 ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาด้านความสัมพันธ์ เช่น น้อยใจถูกดุด่าตำหนิติเตียนทะเลาะกับคนใกล้ชิดร้อยละ 48.7 สาเหตุจากความรักเชิงชู้สาวและหึงหวงร้อยละ 22.9 รวมเป็นร้อยละ71.6 ส่วนในปี2562ก็มีแนวโน้มออกมาทำนองเดียวกัน รากเหง้าของสาเหตุเหล่านี้ล้วนเกิดจาก อารมณ์หุนหันพลันแล่นจากการขาดความยับยั้งชั่งใจทั้งสิ้น จึงหุนหันพลันแล่นตัดสินใจทำร้ายตนเองจนถึงแก่ชีวิต พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น(impulsive) มัคคู่มากับพฤติกรรมก้าวร้าว( aggressive)จนทำร้ายตนเองและผู้อื่นนั้นในทางธรรมเกิดจากการขาดความยับยั้งชั่งใจนั่นเอง ความยับยั้งชั่งใจ(Restrain)คือ ความสามารถในการควบคุมความคิดและอารมณ์ของตนเพื่อใคร่ครวญและทบทวนดูผลดีผลเสียผลกระทบและความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆอย่างรอบคอบก่อนจะตัดสินใจกระทำการใดๆลงไป ผู้ที่มีความยับยั้งชั่งใจจะตัดสินใจกระทำสิ่งใดๆที่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ทั้งตนเองผู้อื่นและสังคม หากอ้างตามพุทธปรัชญาก็สามารถอธิบายได้ว่าความยับยั้งชั่งใจนั้นมีสองอย่างคือความยับยั้งชั่งใจที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และเกิดจากการฝึกฝนที่แนบเนื่องมากับการพัฒนาสตินั่นเอง มีคำที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคำว่าความยับยั้งชั่งใจหลายคำ คือคำว่า สติ(ความระลึกได้),สัมปชัญญะ(ความรู้ตัวทั่วพร้อม),ทมะ(ความข่มใจ),และสัญญมะ(ความยับยั้งชั่งใจ) ทั้งหมดนี้เป็นความคิดและอารมณ์ความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการเลี้ยงดู ประสบการณ์และการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ภาพจาก : TUmisu / pixaba แต่ความยับยั้งชั่งใจนั้นสามารถสร้างและพัฒนาได้โดยเริ่มจากการพัฒนาสติตามหลักการสติปัฏฐานสี่แนวพุทธปรัชญานั่นเอง ที่ผู้เขียนใช้คำว่าพุทธปรัชญาแทนคำว่าพุทธศาสนานั้น ก็เป็นการเปิดกว้างในทางวิชาการที่เปิดโอกาสให้ทุกท่านทบทวน ทดสอบ พิสูจน์และวิพากษ์วิจารณ์หลักการและความรู้เหล่านั้นได้ว่าเป็นจริงหรือไม่และอย่างไร กล่าวคือหากฝึกฝนด้วยการหมั่นรับรู้ความคิดและอารมณ์ของตนเองอยู่เนื่องๆ เช่น คิดก็มุ่งรับรู้ว่าเป็นเพียงการคิดๆๆๆ ,รู้สึกอย่างไรก็มุ่งรับรู้ความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆเช่นรู้สึกเศร้าก็รับรู้ว่าเศร้าๆๆ ,รู้สึกโกรธก็มุ่งรับรู้ว่าโกรธๆๆๆ, รู้สึกน้อยใจก็มุ่งรับรู้ว่าน้อยใจๆๆ ฯ หากทำได้เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอจะพัฒนาสติสัมปชัญญะและสัญญมะคือความยับยั้งชั่งใจ ช่วยลดอาการหุนหันพลันแล่นให้ดีขึ้นเรื่อยๆในที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันอาการหุนหันพลันแล่นและพัฒนาความยับยั้งชั่งใจในแบบง่ายๆได้อีกหลายวิธีคือ 1) ฝึกฝนหายใจเข้าออกยาวๆ กล่าวคือเมื่อพบความคิดและอารมณ์ความเครียด ความวิตกกังวล ความผิดหวัง ความเศร้าโศก ความโกรธแค้นและเสียใจใดๆก็ตามให้หยุดนิ่ง ด้วยการนั่งหรือยืนหรือนอนแล้วดูลมหายใจของตนเองเข้าออกยาวๆ โดยขณะหายใจเข้าให้นับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และขณะหายใจออกให้นับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง มุ่งตามดูลมเข้าลมออกทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆประมาณ 15 - 20 นาทีทุกๆครั้งที่เกิดความคิดและอารมณ์ลักษณะดังกล่าว 2)หยุดคิดในเรื่องที่กระตุ้นอารมณ์ด้านลบ กล่าวคือขณะที่คิดถึงสิ่งๆต่างๆที่ทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบเช่นเครียด วิตกกังวลหม่นหมองเศร้าใจโกรธแค้นผิดหวังเสียใจฯล้วนเกิดจากการคิดด้านลบทั้งสิ้น ดังนั้นการหยุดคิดลบทันทีและหันไปคิดด้านบวกจะทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่นั้นพลิกผันเป็นอารมณ์ด้านบวกขึ้นได้ ก็จะช่วยยับยั้งการกระทำในทางลบได้เช่นกัน 3)ย้ายความสนใจไปที่เหตุการณ์อื่น คำว่าย้ายความสนใจไปที่เหตุการณ์อื่นนั้นหมายความว่าในขณะที่เรากำลังเผชิญความคิดและอารมณ์ที่กระตุ้นให้รู้สึกในทางลบต่างๆ ที่จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นทำร้ายตัวเองและผู้อื่นนั้น ให้หันเหความสนใจไปที่เหตุการณ์อื่น ซึ่งจะช่วยให้ตัวเราลืมความคิดและอารมณ์ที่เผชิญอยู่เดิมนั้นได้ระยะหนึ่ง 4)หนีออกจากสถานการณ์ กล่าวคือเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งใดๆก็ตามส่วนใหญ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่กรณีมักจะหุนหันพลันแล่นเข้าหากัน จึงขาดความยับยั้งชั่งใจและทำร้ายกันและกันหรือทำร้ายตนเอง ดังนั้นหากหยุดคิดตั้งสติระงับอารมณ์ จากนั้นให้กล่าวขอโทษกันแล้วเดินหลีกเลี่ยงออกจากสถานการณ์ไป ก็จะช่วยให้เกิดความยับยั้งชั่งใจ ลดความหุนหันพลันแล่นและคลี่คลายเหตุการณ์ให้ดียิ่งขึ้น 5เจริญสติปัฏฐาน4 การเจริญสติปัฏฐาน4อย่างสม่ำเสมอนั้นจะช่วยให้เกิดการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าตามความเป็นจริงเช่นได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เห็นสักแต่ว่าเห็น สัมผัสแต่สักแต่ว่าสัมผัส ได้กลิ่นสั้นแต่ว่าได้กลิ่น รับรสสักแต่ว่ารับรส จะช่วยให้ลดละการปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆที่มากระตุ้นให้เกิดอารมณ์ต่างๆและเกิดความยับยั้งชั่งใจได้เป็นอย่างดี ภาพจาก : RyanMcGuire /pixaba ดังนั้นหากทุกท่านสามารถฝึกปฏิบัติทั้ง5วิธีที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่วัยเด็ก ก็จะช่วยพัฒนา สติ สัมปชัญญะ ทมะ และสัญญมะคือความยับยั้งชั่งใจได้เป็นอย่างดี จะช่วยป้องกันโรคขาดคุณธรรมคือโรคหุนหันพลันแล่นและไม่กระทำการใดๆที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น ตลอดจนส่งเสริมสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดีภาพปก : Free_Photos /pixaba รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนแห่งสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากร wuttipong academy,ไอดีไลน์ ac6555เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !