9 ทริคดูแลสุขภาพจิตของครอบครัว ในช่วงเผชิญภัยน้ำท่วม ทำไงดี มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยน้ำท่วมนั้น ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัวอย่างลึกซึ้งอีกด้วย 😟 ความเครียด ความวิตกกังวล และความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจทำให้สมาชิกในครอบครัว เกิดภาวะตึงเครียดทางอารมณ์ได้ง่าย ซึ่งหากปล่อยปละละเลยโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตที่รุนแรงในระยะยาวได้ การเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาเหล่านี้จึงมีความสำคัญไม่แพ้การจัดการกับสถานการณ์ทางกายภาพเลย ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่า 9 ทริคที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้ทุกครอบครัวสามารถดูแลสุขภาพจิตของกันและกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ 🫂 ว่ามีอะไรบ้างที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจและช่วยให้ครอบครัวของคุณผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างมั่นคงที่สุดค่ะ กับเนื้อหาที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 1. พูดคุยเปิดใจในทุกวัน ในช่วงที่ครอบครัวกำลังเผชิญกับภาวะน้ำท่วม การพูดคุยกันอย่างเปิดใจในทุกวัน คือ หัวใจสำคัญของการรักษาสมดุลทางอารมณ์ค่ะ เพราะสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนมักทำให้เกิดความเครียด ความกลัว หรือความไม่มั่นคงในใจของสมาชิกแต่ละคน การได้พูดถึงความรู้สึกตรงๆ เช่น ความเหนื่อย ความกังวล หรือความหวังเล็กๆ ที่ยังมีอยู่ จะช่วยให้ทุกคนรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหา การพูดคุยแบบไม่ตัดสินและรับฟังด้วยใจแทนการโต้เถียง เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยที่ช่วยคลายความตึงเครียดและสร้างความอบอุ่นในบ้าน แม้น้ำจะล้อมรอบ แต่เสียงพูดคุยที่อ่อนโยนกันในบ้านจะกลายเป็นกำแพงพลังใจที่แข็งแรงที่สุด เมื่อเราฝึกพูดคุยกันทุกวันโดยไม่หลีกเลี่ยงความรู้สึกที่แท้จริง ครอบครัวจะค่อยๆ เรียนรู้การรับมือกับอารมณ์ของกันและกันได้ดีขึ้น เด็กๆ จะกล้าแสดงความรู้สึกโดยไม่กลัวถูกตำหนิ ผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าการยอมรับความอ่อนแอไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือการเปิดทางให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอยังช่วยลดความเข้าใจผิดในช่วงที่ทุกคนเครียดจากสถานการณ์ภายนอก เช่น เสียงฝน เสียงน้ำ หรือการขาดแคลนของใช้ การได้พูดคุยกันวันละเล็กน้อย แม้เพียง 5 นาที ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของทั้งครอบครัวรู้ว่าพวกเขายังมีกันและกันเสมอค่ะ 2. ยอมรับความรู้สึกของกันและกัน ในช่วงเวลาที่ครอบครัวต้องเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วม สภาวะจิตใจของสมาชิกแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปค่ะ การเปิดใจยอมรับว่าความเครียด ความกังวล ความกลัว หรือความเศร้าที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการเยียวยาจิตใจ โดยหัวใจหลักคือการรับฟังอย่างตั้งใจและเห็นอกเห็นใจ ให้พื้นที่แก่คนในครอบครัวได้ระบายความในใจ โดยปราศจากการตัดสินหรือการตำหนิ เช่น ไม่ควรตัดบทด้วยคำพูดว่า "อย่าคิดมาก" หรือ "ไม่เป็นไรหรอก" แต่ควรใช้คำที่สะท้อนความเข้าใจ เช่น "แม่เข้าใจว่าลูกรู้สึกกังวลมากนะ" การแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเปิดเผยจะช่วยลดแรงกดดันทางอารมณ์ และเป็นเสมือนการปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้นที่สมาชิกในครอบครัวมอบให้แก่กัน ซึ่งเป็นเกราะป้องกันทางสุขภาพจิตที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่สมาชิกทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงอารมณ์และประสบการณ์ของตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา นับเป็นกุญแจสำคัญในการสานสัมพันธ์ทางใจในครอบครัว คำพูดและการแสดงออกที่ไม่ตำหนิ ตอกย้ำ หรือกล่าวโทษกัน จะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากความเครียดสะสมได้ สมาชิกควรช่วยกันใช้ภาษาเชิงบวกและให้กำลังใจซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ พ่อแม่อาจต้องเป็นแบบอย่างในการจัดการกับความรู้สึกของตนเองอย่างสร้างสรรค์ และสอนให้ลูกรับรู้และยอมรับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องพยายามกลบซ่อนความรู้สึกเหล่านั้น เมื่อทุกคนในครอบครัวรู้สึกว่าความรู้สึกของตนเองได้รับการยอมรับและเคารพ ความผูกพันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และจะกลายเป็นพลังสำคัญในการก้าวผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างมีสติและเข้มแข็งค่ะ 3. จัดกิจกรรมเล็กๆ เพื่อคลายเครียด ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมและข้อจำกัดมากมาย การกำหนดช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อทำกิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความกังวลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ โดยกิจกรรมก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน แต่เน้นที่การมีส่วนร่วมและสร้างเสียงหัวเราะค่ะ เช่น การเล่นเกมทายคำหรือทายท่าทางง่าๆ การเล่านิทานหรือเรื่องตลกสนุกๆ รวมถึงการร้องเพลงหรือฟังเพลงโปรดร่วมกัน กิจกรรมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นการหยุดพักทางอารมณ์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดที่สะสม และทำให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกผ่อนคลายลงได้ชั่วขณะ การได้หัวเราะและมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยเติมพลังใจให้ทุกคนสามารถรับมือกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้นมาก นอกจากกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว การจัดกิจกรรมที่เน้นการผ่อนคลายและสร้างความผูกพันทางกายและใจก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรกำหนดช่วงเวลาสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมการดูแลซึ่งกันและกัน เช่น การชวนกันฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อลดความตื่นตระหนก หรือการนวดไหล่และหลังให้กันอย่างง่ายๆ ก่อนนอน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรักและความใส่ใจที่ช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกาย นอกจากนี้การทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การวาดรูปอิสระ หรือการช่วยกันทำอาหารง่ายๆ เท่าที่ทำได้ ก็เป็นวิธีที่ดีในการแปลงความกังวลให้เป็นพลังงานเชิงบวก การใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพนี้จะช่วยสร้างความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และตอกย้ำว่าครอบครัวคือทีมที่เข้มแข็งที่สุดที่จะเดินหน้าผ่านวิกฤตไปพร้อมกัน 4. สร้างตารางชีวิตที่คาดเดาได้ ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ทุกอย่างดูวุ่นวายและไม่แน่นอน การสร้างตารางกิจวัตรประจำวันที่คาดเดาได้ จะกลายเป็นเกาะแห่งความมั่นคงทางจิตใจของครอบครัว การมีตารางเวลาที่ชัดเจนในแต่ละวัน เช่น กำหนดเวลาตื่นนอน เวลารับประทานอาหารร่วมกัน หรือแม้แต่เวลาติดตามข่าวสาร จะช่วยลดความสับสนและความรู้สึกไร้การควบคุมลงได้อย่างมาก เพราะมนุษย์จะรู้สึกปลอดภัยเมื่อชีวิตมีแบบแผนที่คุ้นเคย ดังนั้นถึงแม้จะต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้เข้ากับข้อจำกัดของพื้นที่และระดับน้ำ แต่การยึดรูปแบบของกิจวัตรเดิมให้มากที่สุด จะช่วยให้ทุกคนรู้สึกว่าชีวิตยังคงเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ การมีตารางกิจวัตรจะช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้พวกเขารู้สึกสงบและมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ใหญ่ การสร้างตารางชีวิตที่ดีในช่วงวิกฤตควรเน้นที่ความยืดหยุ่นและสมดุลค่ะ โดยให้ครอบคลุมทั้งกิจกรรมที่จำเป็นและกิจกรรมที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ ครอบครัวควรร่วมกันกำหนดตารางกิจวัตรประจำวัน โดยมีการแบ่งเวลาสำหรับกิจกรรมสำคัญ เช่น การทำความสะอาดหรือช่วยเหลือผู้อื่นตามความสามารถ การจัดสรรเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายเบาๆ เท่าที่ทำได้ รวมถึงการจัดช่วงเวลาสำหรับกิจกรรมคลายเครียดร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ การเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนและรับผิดชอบภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ในตาราง จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตนเอง ซึ่งสิ่งนี้เองจะเป็นรากฐานสำคัญที่เสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ ให้ครอบครัวสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความผันผวนนี้ไปได้อย่างมีสติและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันค่ะ 5. แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ในช่วงที่สถานการณ์ไม่แน่นอนและมีความเร่งด่วน การกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวอย่างชัดเจน เปรียบเสมือนการสร้างทีมบริหารจัดการวิกฤตขนาดเล็กในบ้านค่ะ การแบ่งหน้าที่ที่เหมาะสมกับความสามารถและวัยของแต่ละคน เช่น ใครรับผิดชอบเรื่องอาหาร ใครดูแลเรื่องการติดตามข่าวสารและแจ้งเตือนภัย ใครดูแลเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยลดความสับสนและปัญหาการก้าวก่ายงานกันได้อย่างมาก เมื่อทุกคนทราบว่าตนเองต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมและมีคุณค่าต่อการอยู่รอดของครอบครัว ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิต (Sense of Control) กลับคืนมา การจัดการที่เป็นระบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้งานสำคัญๆ ในช่วงน้ำท่วมดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังลดภาระความเครียดที่หนักอึ้งบนไหล่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งลงได้อีกด้วย การแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนควรรวมถึงการมอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เหมาะสมให้กับเด็กๆ หรือผู้สูงอายุด้วย เพื่อให้พวกเขารู้สึกไม่ถูกทอดทิ้งและยังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของทีม การมอบหมายงานที่สำเร็จได้ง่าย เช่น การรับผิดชอบในการจัดเก็บของเล่น การแจกจ่ายน้ำดื่ม หรือการดูแลความสะอาดในพื้นที่จำกัด จะช่วยให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี การสื่อสารและการทำความตกลงร่วมกันในการแบ่งหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ และควรยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การร่วมกันทำงานตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายนี้ จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือและความสามัคคีในครอบครัวอย่างลึกซึ้ง และสร้างความมั่นใจร่วมกันว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างเป็นระบบและเป็นทีมที่เข้มแข็งที่สุด 6. หมั่นสื่อสารด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน ในช่วงที่ทุกคนในครอบครัวกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความสูญเสียทางอารมณ์ การหมั่นสื่อสารด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนและเชิงบวก เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นค่ะ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำตำหนิ ตัดสิน หรือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "ทำไมไม่..." แต่ให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาที่เน้นการทำความเข้าใจและแสดงความห่วงใย เช่น การใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย "ฉันรู้สึก..." เพื่อแสดงความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา การสื่อสารในลักษณะนี้จะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกปลอดภัย ที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาโดยไม่ต้องกลัวการถูกต่อว่า การใช้คำพูดที่สุภาพและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความเมตตาและเอื้ออาทร ซึ่งเป็นเกราะป้องกันทางอารมณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในภาวะวิกฤต ถ้อยคำที่อ่อนโยนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพจิตของเด็กๆ ในช่วงภัยพิบัติ เนื่องจากเด็กมักจะรับรู้ความรู้สึกจากน้ำเสียงและภาษาของผู้ใหญ่ ดังนั้นผู้ใหญ่ควรเลือกใช้ภาษาที่เรียบง่าย ชัดเจน และให้ความมั่นใจ โดยหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่เกินจริง หรือก่อให้เกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ควรใช้โอกาสนี้ในการถ่ายทอดความรักและความผูกพันอย่างเปิดเผยผ่านคำพูด เช่น "พ่อ/แม่รักลูกนะ และเราจะดูแลกัน" หรือ "ขอบคุณนะที่ลูกช่วยงานบ้าน" การชื่นชมความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาจะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในตนเองและเสริมสร้างความรู้สึกมีคุณค่า การรับฟังอย่างตั้งใจและตอบกลับด้วยความเข้าใจในความกลัวของเด็กถือเป็นการให้การสนับสนุนทางอารมณ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งจะช่วยเยียวยาจิตใจที่เปราะบางและสร้างรากฐานความเข้มแข็งทางอารมณ์ในระยะยาวให้แก่พวกเขา 7. สังเกตอาการของสมาชิกในบ้าน การหมั่นสังเกตอาการและพฤติกรรมของสมาชิกในบ้านอย่างใกล้ชิด ถือเป็นด่านแรกและสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพจิตในช่วงที่น้ำท่วมค่ะ สำหรับผู้ใหญ่ให้เฝ้าระวังสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า เช่น การนอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน การกินอาหารน้อยลงหรือมากขึ้นอย่างผิดปกติ ความหงุดหงิดง่าย โมโหบ่อย หรือการแยกตัวออกจากกิจกรรมทางสังคม สัญญาณเหล่านี้อาจแสดงออกแตกต่างกันไป โดยในเด็กอาจเป็นการงอแงมากกว่าปกติ ปัสสาวะรดที่นอน หรือมีอาการปวดท้อง/ปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุทางการแพทย์ หากพบว่าสมาชิกในครอบครัวมีอาการดังกล่าวต่อเนื่อง หรือมีการแสดงออกถึงความสิ้นหวังและความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น ควรรีบเข้าหาและรับฟังพวกเขาด้วยความเข้าใจโดยไม่ตัดสินทันที เมื่อพบสัญญาณเตือนทางจิตใจ การตอบสนองที่เหมาะสมคือการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้สมาชิกในบ้านได้พูดคุยและระบายความรู้สึกออกมาโดยไม่มีการเร่งรัดหรือตำหนิ ให้ใช้ถ้อยคำที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ เช่น "แม่/พ่อเห็นว่าลูกดูเศร้าๆ นะ มีอะไรอยากเล่าให้ฟังไหม" การรับฟังอย่างตั้งใจและแสดงความรักความห่วงใยจะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและเป็นทุกข์ของพวกเขาได้ การสังเกตและให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของทุกคนในบ้านอย่างต่อเนื่องนี้ จะช่วยให้สามารถประเมินระดับความเครียดได้อย่างแม่นยำ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้น เช่น มีอาการตื่นตระหนก ตกใจง่าย หรือมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ควรพิจารณาปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตหรือผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกที่ประสบปัญหานั้นได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมที่สุดค่ะ 8. มองหาสิ่งเล็กๆ ที่ดีทุกวัน ท่ามกลางความเครียดและความสูญเสียจากวิกฤต การฝึกตัวเองให้มองหาสิ่งดีๆ เล็ก ๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน คือ การสร้างความสุขง่ายๆ ที่ช่วยต้านทานความท้อแท้ได้ค่ะ ควรหาเวลาสั้นๆ ในแต่ละวันเพื่อชื่นชมหรือขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เช่น การที่ครอบครัวได้กินข้าวพร้อมหน้ากันอย่างปลอดภัย การได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่การที่วันนี้มีอากาศปลอดโปร่ง การจดจ่อกับความดีงามเหล่านี้ จะช่วยเปลี่ยนกรอบความคิดของเราจากการจมอยู่กับปัญหาไปสู่การเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ (Attitude of Gratitude) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการสร้างพลังใจเชิงบวก การกระทำง่ายๆ นี้จะช่วยสะสมแต้มความสุขในจิตใจ ทำให้เรามีพลังงานสำรองทางอารมณ์สำหรับรับมือกับปัญหาที่ใหญ่กว่าในวันถัดไป นอกจากการมองหาสิ่งดีๆ ด้วยตัวเองแล้ว การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรื่องราวความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันกับสมาชิกในครอบครัว ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความผูกพันได้อย่างน่าประหลาดใจ การเล่าเรื่องตลกเบาๆ การชื่นชมความพยายามของคนอื่น หรือการบอกเล่าความสำเร็จเล็กๆ ของตนเองในวันนั้น จะช่วยให้บรรยากาศในบ้านผ่อนคลายและเต็มไปด้วยพลังงานบวก ตัวอย่างเช่น การบอกว่า "วันนี้ดีจังที่เรามีน้ำสะอาดใช้สำหรับอาบ" หรือ "ขอบคุณนะที่ช่วยยกของ" การสื่อสารเชิงบวกเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี แต่ยังเป็นการตอกย้ำให้ผู้พูดจดจำและรู้สึกถึงสิ่งดีๆ นั้นซ้ำอีกครั้ง การกระตุ้นให้ทุกคนในบ้านเข้าร่วมในช่วงเวลาแห่งความสุขเล็กๆ นี้จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ร่วมกัน และทำให้ทุกคนมองเห็นว่าเรายังโชคดีที่... ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความหวังและกำลังใจในช่วงเวลาที่ยากลำบากค่ะ 9. ติดตามข่าวสารอย่างพอดี เพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต การติดตามข่าวสารสถานการณ์วิกฤตควรทำอย่างมีสติและมีขีดจำกัดค่ะ ควรจำกัดการรับข้อมูลให้เหลือเพียงช่วงเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน เช่น วันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 นาที และเลือกเฉพาะแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และเป็นทางการของหน่วยงานราชการหรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หลีกเลี่ยงการติดตามข่าวสารแบบจมดิ่ง หรือการเสพข่าวสารเชิงลบซ้ำๆ ตลอดทั้งวันโดยเฉพาะจากโซเชียลมีเดีย เพราะการรับภาพหรือข้อความที่สะเทือนใจซ้ำๆ อาจกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล ความหดหู่ หรือมีอาการทางกาย เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ การตระหนักว่าการรับรู้ข่าวสารเพียงพอต่อการวางแผนดูแลตนเองและครอบครัวแล้ว จะช่วยให้เราสามารถดึงตัวเองกลับมาโฟกัสกับกิจวัตรประจำวันและสิ่งที่ควบคุมได้ในปัจจุบัน เมื่อได้รับข่าวสารแล้ว ควรกรองและจำแนกข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติเท่านั้น เช่น ข้อมูลการอพยพ การขอความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำด้านความปลอดภัย และละเลยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนก การหารือและพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมา ก็เป็นอีกวิธีที่ดีในการแชร์ภาระทางอารมณ์ แต่ต้องจำกัดเนื้อหาให้เน้นไปที่การแก้ปัญหา ไม่ใช่การตอกย้ำความเสียหายค่ะ หากพบว่าตนเองหรือคนในบ้านเริ่มแสดงอาการเครียด วิตกกังวล หรือมีอารมณ์ฉุนเฉียวหลังจากการดูข่าว นั่นคือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าถึงเวลาพักจากสื่อ แล้วเปลี่ยนไปทำกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ แทน เช่น การออกกำลังกายเบาๆ การฝึกหายใจ หรือการพูดคุยถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิกฤต เพื่อให้สมองได้พักและปรับสมดุลทางอารมณ์กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วที่สุดค่ะ และนั่นคือแนวทางทั้งหมดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้นะคะ โดยจะเห็นได้ว่าในสถานการณ์อุทกภัยที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย ความไม่แน่นอน และความตื่นตระหนกนั้น การดูแลสุขภาพจิตเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะความเครียดที่สะสมจากการเผชิญภัยพิบัติและการเฝ้าติดตามข่าวสารอย่างไม่หยุดหย่อน สามารถนำไปสู่ปัญหาทางร่างกายและใจได้หลายรูปแบบ เช่น อาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้า ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการกำหนดขอบเขตของการรับรู้ข่าวสาร โดยเลือกติดตามเฉพาะข้อมูลสำคัญจากแหล่งที่เชื่อถือได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพื่อให้มีสติเพียงพอในการวางแผนรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะจมอยู่กับอารมณ์ด้านลบจากข้อมูลที่มากเกินไป การจัดการกับความเครียดในภาวะวิกฤต เริ่มจากการยอมรับและสังเกตอารมณ์ของตนเองและคนในครอบครัว หากมีความรู้สึกหดหู่หรือท้อแท้ ควรหาเวลาพูดคุยและระบายความรู้สึกกับคนที่เราไว้วางใจ โดยไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว การทำกิจกรรมง่ายๆ ที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การฝึกหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือแม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังที่ทำได้ จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความทุกข์ได้ชั่วคราว ที่สำคัญที่สุดคืออย่ายอมแพ้ และหากอาการความเครียดหรือความวิตกกังวลยังคงอยู่เป็นเวลานานจนกระทบกับการใช้ชีวิตปกติ อย่าลังเลที่จะติดต่อขอรับการปรึกษาจากสายด่วนสุขภาพจิตหรือผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ การดูแลจิตใจให้เข้มแข็งจะช่วยให้เราสามารถฟื้นตัวและก้าวต่อไปได้หลังจากที่น้ำลดลงแล้วค่ะ และจริงค่ะ ที่ว่าการดูแลจิตใจให้เข้มแข็งจะช่วยให้เราสามารถฟื้นตัวและก้าวต่อไปได้หลังจากน้ำลดลงแล้ว เพราะจากที่น้องสาวเคยเจอน้ำท่วม ทำให้เขาเข็มแข็งขึ้นมาก และก็ผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ ซึ่งก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่กลายเป็นบทเรียนดีๆ ที่จะใช้ได้ในอนาคตเลยค่ะ จึงขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังเจอน้ำท่วมนะคะ ยังไงนั้นอย่าทิ้งการดูแลสุขภาพจิต เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อน้ำลดลงแล้วเราสามารถแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้อยู่แล้วค่ะ ตอนนี้ให้รักษาชีวิตไว้ก่อน และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #สุขภาพจิตครอบครัว #จิตวิทยาครอบครัว #จิตวิทยาเชิงบวก #PositiveMindset เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก AI Generated และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 ถ่ายภาพโดย Lucas Alexander จาก Unpalsh, ภาพที่ 2 ถ่ายภาพโดย Annie Spratt จาก Unspalsh, ภาพที่ 3 และภาพที่ 4 AI Generated โดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 ปัญหาความกังวลด้านสุขภาพจิต ที่มาพร้อมกับภัยพิบัติน้ำท่วม 9 วิธีสังเกตผู้ชาย ที่มีภาวะซึมเศร้า ป้องกันการทำร้ายตัวเอง! 9 วิธีดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล สำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทำไงดี เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !