พลังการชื่นชมเพิ่มความภาคภูมิใจ (บทความสุขภาพจิต) ภาพจากผู้เขียน “แม่ครับ! ผมมานอนให้หมอทำฟันประมาณ 15 นาทีรู้สึกภูมิใจมากกว่าอยู่กับแม่มาตั้ง 15 ปีแน่ะ” ลูกชายพูดกับแม่เมื่อเดินออกมาจากห้องทำฟันในคลินิกทันตกรรมแห่งหนึ่ง เล่นเอาแม่อึ้งไปเหมือนกันจึงถามลูกต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือลูก” ลูกชายตอบแม่ว่า “อ๋อ ตั้งแต่ผมเดินเข้าห้องทำฟันไปหมอฟันก็ชมว่า ผมเป็นวัยรุ่นที่รูปร่างดี ดูเท่ และสง่ามาก และยังชมว่าแต่งตัวทันสมัยสะอาดสะอ้าน ตอนตรวจฟันหมอก็ยังชมว่าเหงือกผมสวยเป็นสีชมพูเป็นลักษณะของความสมบูรณ์เลือดลมเดินดีซึ่งหาพบได้ยากในวัยรุ่นทั่วไป และฟันยังสวยเรียงเป็นระเบียบด้วย ผมปลื้มมากอยากจะอ้าปากให้หมออุดฟันทั้งวันเลย” นั่นคือเหตุการณ์ที่คุณแม่คนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟัง ซึ่งทำให้ผู้เขียนเองก็ย้อนนึกถึงน้องต๊อดซึ่งเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังเช่นกันว่า “ตั้งแต่พี่และทีมงานมาช่วยงานส่งเสริมสุขภาพจิตของโรงเรียนทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้ตอนนี้ผมจะมีผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว และสอบติดคณะเภสัชศาสตร์แล้วแต่ผมยังไม่เคยรู้สึกเลยว่า ผมเป็นลูกที่พ่อแม่ปลื้มและชื่นชมหรือเปล่า” คำบอกเล่าของน้องต๊อดเล่นเอาผู้เขียนเกือบพูดไม่ออกได้แต่บอกเขาไปว่า “พ่อแม่ทุกคนรักและปลาบปลื้มลูกเสมอเพียงแต่ท่านอาจไม่แสดงออกเท่านั้นเองครับ” น้องต๊อดเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยร่วมกิจกรรมด้วย น้องต๊อดนำวุฒิบัตรต่างๆ ที่ได้จากการแข่งขันและทำงานพิเศษช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนมาจัดเข้าแฟ้มประวัติ ซึ่งผู้เขียนได้แนะนำให้จัดเรียงให้เป็นระบบระเบียบ พบว่าน้องต๊อดมีวุฒิบัตรจากการแข่งขันทักษะทางวิชาการต่างๆ ทั้งด้านวิชาศีลธรรม วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ รวมถึงเกียรติบัตรร่วมกิจกรรมต่างๆ ทั้งของโรงเรียนและชุมชน แม้กระทั่งการแข่งขันกีฬารวมทั้งสิ้นประมาณ 60 แผ่น ผู้เขียนจึงหยิบขึ้นมาทีละแผ่นเพื่ออ่านและเลือกชื่นชมน้องต๊อดเป็นระยะๆ เช่น “พี่ชื่นชมน้องต๊อดมากๆ ที่ตอบปัญหาธรรมะได้รองอันดับหนึ่งของจังหวัด ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้นะครับ ยิ่งมาจากโรงเรียนของคริสเตียนแล้วมาตอบปัญหาธรรมะแนวพุทธได้นี่สุดยอดเลยครับ” “ดูซิ ได้รับวุฒิบัตรเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาจราจรของจังหวัดด้วย เก่งและเท่สุดๆ เลย คนที่มีจิตอาสาคือลักษณะของคนดีและเสียสละซึ่งหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ พี่เชื่อว่าหากมีเยาวชนเช่นน้องต๊อดมากๆ สังคมไทยเราต้องมีคนดีเต็มบ้านเต็มเมืองในอนาคตแน่ๆเลย พี่ชื่นชมน้องต๊อดมากครับ” นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชมน้องต๊อดขณะที่เขานั่งจัดแฟ้มประวัติตัวเอง จนเขาพูดว่ารู้สึกภาคภูมิใจมากและไม่รู้ว่าตนเองเป็นลูกที่พ่อแม่ปลื้มหรือเปล่านั่นแหละครับ เช่นเดียวกับอีกเหตุการณ์หนึ่งกรณีของน้องก้องเขาเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แม้ชีวิตอาจดูลำบากในสายตาของคนทั่วไป นั่นก็คือเมื่อน้องก้อง อายุประมาณ 11 ปี พ่อเสียชีวิต แม่ออกจากบ้านไปทำงานในต่างจังหวัด ทำให้น้องก้องต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและเคยไปอาศัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัดในหมู่บ้าน ยิ่งชีวิตตอนเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น ที่พักอาศัยของน้องก้องคือห้องกิจการนักเรียนของโรงเรียน คงไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่าชีวิตของน้องก้องถูกทอดทิ้งให้ต่อสู้ชีวิตอย่างอ้างว้างคนเดียว ด้วยกำลังใจจากครูและความเข้มแข็งภายในจิตใจทำให้น้องก้องฟันฝ่าอุปสรรคชีวิต จนกระทั่งสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐได้ในที่สุด น้องก้องได้รับทุนการศึกษาจากผู้มีใจเมตตาอุปการะจนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ในระหว่างที่ผู้เขียนและทีมงานเข้าไปช่วยเหลือและทำรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิตวัยรุ่น พบว่าน้องก้องเป็นนักเรียนที่ขยันทำกิจกรรมมากมาย ได้รับประกาศเกียรติคุณแสดงถึงความเป็นคนดีเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนกล่าวแสดงความชื่นชมน้องก้องตามที่พบเห็นประจักษ์กับตาเรื่องแล้วเรื่องเล่า ในที่สุดน้องก้องก็กล่าวว่า “พี่ครับตั้งแต่ผมโตมา และพึงได้รู้จักพี่และทีมงานเพียงไม่กี่วัน พี่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ตนเองมีคุณค่าที่สุดเลยครับ” ผู้เขียนและทีมงานทำให้น้องก้องรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าปลาบปลื้มและภูมิใจในชีวิตด้วยการกล่าวชื่นชมนั่นเอง ภาพจาก : ferobanjo / pixabay ทั้งสามตัวอย่างเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนหยิบยกมาเล่าให้ผู้อ่านได้ทราบว่า เยาวชนทุกคนอยากเป็นคนเก่ง เป็นคนดี และเป็นคนที่ผู้อื่นชื่นชมทั้งนั้น แต่คุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครองไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าชื่นชมแล้วเด็กจะหลงและจะเหลิง ผู้เขียนขอย้ำว่านั่นเป็นความเข้าใจผิดครับ การชื่นชมที่ถูกวิธีและถูกกาลเทศะและเป็นจริงจะเป็นพลังฝ่ายบวกที่ส่งผลให้ลูกหลานและลูกศิษย์เกิดความภาคภูมิใจเสมอ เกิดพลังใจที่จะมุ่งมั่นฟันฝ่าและนำพาชีวิตได้เป็นอย่างดี การชื่นชมในเรื่องดีๆถูกวิธีและสม่ำเสมอจะเป็นการสื่อสารเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนจะเป็นทั้งภูมิต้านทานทางจิตใจและภูมิคุ้มกันทางจริยธรรมให้เขาได้เรียนรู้กติกาในชีวิตและสังคม นั่นคือหากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้วได้รับการตำหนิและเสนอแนะให้แก้ไขจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยได้รับการชื่นชม เขาจะแยกแยะได้ว่าเมื่อทำดีแล้วได้รับการชื่นชม เมื่อทำไม่ดีจะได้รับการตำหนิ เพราะการสื่อสารส่วนใหญ่ที่มักพบคือคุณครูและพ่อแม่มักจะมีแต่คำตำหนิติเตียนห้ามโน่นห้ามนี่และอบรมสั่งสอน ทำให้เขาไร้ความภูมิใจ แต่เมื่อเขาทำดีกลับไม่ได้รับการชื่นชมดังสามตัวอย่างที่เล่ามา หลักการชื่นชมที่ผู้เขียนได้ทำการวิจัยมาถึงเจ็ดปีประกอบด้วย 7 ขั้นตอนดังนี้ 1)มองคนโดยองค์รวม 2)รวบรวมความดี 3)นำความดีที่รวบรวมไว้มาชื่นชมที่ละประเด็น 4)บอกหลักฐานของประเด็นที่ชื่นชมทุกครั้ง 5)หากจะเปรียบเทียบต้องทำให้คนที่เรานชมรู้สึกว่าดีกว่าคนที่เรานำไปเปรียบเทียบ 6)ชื่นชมประเด็นใดให้กลับมาตอกย้ำประเด็นนั้นๆ 7) ให้ชื่นชมจริงๆห้ามตำหนิว่ากล่าวสั่งสอนหรือประเมิน เพราะการชื่นชมเป็นการสื่อสารเพื่อสร้ากำลังใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น “ผมรู้สึกชื่นชมมากที่คุณเป็นลูกที่กตัญญูที่สุดเลย เพราะแม้จะทำงานหนักแต่คุณก็ยังมีเวลาดูแลพ่อแม่ที่ชราเป็นอย่างดีทุกวัน หากเปรียบเทียบกับอีกหลายคนที่มีภาระมากคล้ายกับคุณเขาเหล่านั้นกลับจ้างคนอื่นดูแลแทน ดังนั้นผมจึงรู้สึกชื่นชมที่คุณเป็นลูกกตัญญูที่สุดครับ” เป็นต้น ภาพจากผู้เขียน ดังนั้นขอให้ครูบาอาจารย์และพ่อแม่ผู้ปกครองได้เชื่อมั่นและศรัทธาในพลังของการชื่นชมเถิดว่า เป็นเครื่องมือในการสร้างพลังใจและความภาคภูมิใจให้กับเยาวชนได้ และจะส่งผลให้พวกเขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและมีสุขภาพจิตดีในที่สุด และหากพวกเขาสามารถบอกได้เยาวชนทุกคนคงจะบอกคุณครูและพ่อแม่ว่า “ครูครับ ชื่นชมผมบ้างนะครับ” “ครูขาชื่นชมหนูบ้างนะคะ” “พ่อครับชื่นชมในความสำเร็จของผมบ้างเถอะครับ” แล้ววันนี้คุณชื่นชมลูกศิษย์และลูกหลานคุณบ้างแล้วหรือยัง ภาพปก : iphotoclich / pixabayรศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy,ไอดีไลน์ ac6555อัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !