เรียกร้องความสนใจ:บุคลิกภาพแปรปรวน (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : 1866946 /pixabay “นางแพศยา นางกากี ชอบแย่งสามีชาวบ้าน” นั่นคือคำที่วิไลถูกด่าอยู่เป็นประจำจากบุคคลที่โกรธและเกลียดเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกร้าวรานใจอยู่ไม่น้อย แม้ปากจะพูดว่าฉันไม่สนใจก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าเธอยั่วยวนผู้ชายทุกคนที่เธอรู้จัก ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็แต่งงานมีสามีแล้ว เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับสามีของเพื่อนจนทำให้ครอบครัวของเธอและเพื่อนทะเลาะกันถึงขั้นเกือบหย่าร้างมาหลายครั้ง วิไลมารับบริการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตด้วยอาการเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับและที่สำคัญคือมีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวจนถึงขั้นจะหย่าร้างกับสามี จากการสนทนาพบว่าวิไลเป็นคนที่ชอบแสดงออกและเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงกันข้ามเป็นประจำ จิตแพทย์วินิจฉัยว่าเธอมีบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจหรือ histrionic personality disorder จนส่งผลกระทบให้เธอมีปัญหาอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย อาการแสดงออกที่ชัดเจนของผู้ที่มีบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจนั้น มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงความแปรปรวนในเพศหญิงเป็นหลัก บุคคลเหล่านี้มักจะเรียกร้องความสนใจด้วยการแสดงออกในเชิงยั่วยวนทางเพศ ทั้งการแต่งกาย การแสดงออกทางสีหน้าแววตาท่าทาง ซึ่งมักทำให้ผู้ชายที่พบเห็นเข้าใจว่าเธอให้ท่าเชิญชวนในเชิงชู้สาวและสัมพันธ์สวาท และแม้ว่าเธอจะแต่งงานจนกระทั่งมีลูกแล้วก็ตาม เธอก็ยังเรียกร้องความสนใจจากสามีและสร้างความรำคาญให้ด้วยการแสดงออกเชิงสัมพันธ์สวาทด้วยกริยาวาจาที่เกินงาม และในบางสถานการณ์เธอก็เรียกร้องความสนใจด้วยอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวแบบไร้เหตุผล ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าจะสงบสุข แต่เธอได้ทำลายบรรยากาศดีๆด้วยท่าทีที่สร้างความขัดแย้งขุ่นเคืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหารู้ไม่ว่าเธอกำลังสร้างสมปัญหาเรื้อรังที่จะทำให้สามีตีจากในที่สุด เพราะเธอจะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวซ้ำๆอยู่เสมอไม่ว่าต่างเวลา ต่างสถานที่ หรือต่างบุคคลเธอก็ตาม นั่นเป็นเพราะเธอป่วยด้วยบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจนั่นเอง ภาพจาก : Netcolon /pixabay ผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจแม้ว่าเธอจะแสดงออกและเรียกร้องโดยสื่อความหมายออกมาในเชิงสัมพันธ์สวาทหรือเชิงชู้สาวเป็นหลัก แต่ไม่ใช่เพราะเธอเป็นโรคความต้องการทางเพศสูงอย่างที่สังคมส่วนใหญ่มักเข้าใจกัน เพียงแต่เมื่อมีการเรียกร้องความสนใจด้วยการสื่อสารในเชิงชู้สาวกับเพศตรงข้ามทีไรก็มักจะทำให้เพศชายสนใจและโต้ตอบเธอจนลงเอยด้วยการมีสัมพันธ์สวาทเท่านั้นเอง เพราะบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจกับการมีความต้องการทางเพศสูงเป็นคนละประเด็น การที่ผู้หญิงหลายคนมีบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจ มักมีสาเหตุมาตั้งแต่วัยเด็กคือขาดความรักความอบอุ่นจึงพยายามเรียกร้องความสนใจทุกวิถีทางจากพ่อ เพื่อให้ได้รับความรักโดยอาจรู้สึกว่าแม่หรือพี่น้องของตัวเองเป็นคู่แข่งที่ต้องแย่งชิงความรักจากพ่อให้ได้มากที่สุด และกระทำซ้ำด้วยรูปแบบต่างๆมาตลอดชีวิต เมื่อโตเป็นสาวจึงเริ่มเรียกร้องความสนใจจากผู้ชายคนอื่นและสื่อสารแสดงออกด้วยการเรียกร้องความสนใจในเชิงชู้สาว เพราะเมื่อสื่อสารเรื่องนี้ทีไรก็มักจะได้รับความสนใจทุกที ผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพแบบเรียกร้องความสนใจเหล่านี้เป็นบุคคลที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก เพราะแท้จริงพวกเธอ ไร้ความสุข ไร้ความรัก ไร้ความภาคภูมิใจในตนเอง แม้จะมีแฟนหรือแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็มักจะมีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจจากผู้ชายคนอื่นอยู่ดี อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดการทะเลาะเบาะแว้งหรือร้าวฉานในชีวิตรักและครอบครัว จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่ามีชู้หรือต้องหย่าร้างกัน นอกจากนั้นผู้ชายคนไหนรู้ไม่เท่าทัน เมื่อพบผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพแบบเรียกร้องความสนใจดังกล่าวแล้วพลอยแสดงความสนใจร่วมจนเกิดความสัมพันธ์สวาทลึกซึ้งตามมา ก็อาจทำให้ครอบครัวของฝ่ายชายนั้นเดือดร้อนได้อีกเช่นกัน ทั้งที่บุคลิกภาพแปรปรวนชนิดเรียกร้องความสนใจเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตที่ควรได้รับการรักษาและแก้ไข แต่มักไม่ค่อยพบว่าบุคคลเหล่านั้นตั้งใจไปบำบัดรักษา กลับพบว่าไปพบจิตแพทย์หรือนักวิชาการด้านสุขภาพจิตด้วยสาเหตุอื่น ซึ่งเป็นผลกระทบจากความแปรปรวนของบุคลิกภาพมากกว่า เช่นความเครียด ความวิตกกังวล มีปัญหาในครอบครัวทะเลาะกับแฟนหรือสามีเพราะไปยั่วยวนชายอื่น จนอาจถึงขั้นหย่าร้าง และหากไปพบคนรักใหม่ปัญหาแบบเดิมๆก็จะเริ่มต้นวงจรเดิมกับคนรักใหม่เช่นกันไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าเธอจะแก่ลงปลงใจได้หรือตายจากไป และผู้หญิงที่บุคลิกภาพแปรปรวนแบบนี้เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มักเจอปัญหาอกหักรักร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นเอง ภาพจาก : cuncon / pixabay เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองสำรวจตัวท่านเองและบุคคลใกล้ชิดดูสิครับ ว่าใครเป็นอย่างที่กล่าวมาบ้าง และไม่ว่าใครจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม โปรดมองว่านั่นคือความแปรปรวนของบุคลิกภาพและควรได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นการป่วยรูปแบบหนึ่งในทางจิตเวชและสามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการทำจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดและใช้ยาร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้ชีวิตเป็นปกติสุขและจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ป้องกันปัญหาหย่าร้างได้ ขอเพียงแต่ให้มีสติ มีความตั้งใจและมีความจริงใจที่จะปรับปรุงแก้ไขเท่านั้นเองภาพปก : Yuri_B /pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ไอดีไลน์ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !