ด้วยความที่เราเป็นภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย อีกทั้งทานผักผลไม้น้อย ทำให้ผิวพรรณดูหมองคล้ำ แน่นอนว่าต้องมีตัวช่วยที่แพทย์ภูมิแพ้แนะนำ คือแนะนำให้ทานวิตามิน C 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งในวันนี้เองเราก็ได้มีโอกาสได้ทดลองทานวิตามินของอเมริกาแบรนด์ Ester-C และของญี่ปุ่น แบรนด์ DHC มาแล้วจึงอยากมารีวิวเปรียบเทียบ 2 แบรนด์ฝั่งตะวันตกและตะวันออกว่าอันไหนดีกว่ากันในความคิดของผู้เขียนนะจ๊ะสาเหตุที่เปรียบเทียบ 2 แบรนด์นี้ : เพราะว่า 2 แบรนด์นี้ไปศึกษามาเกี่ยวกับการจัดอันดับวิตามินที่ดีที่สุด ปรากฏว่า Ester-C อยู่กันดับ 4 และ DHC อยู่กันดับ 7 อ้างอิงเว็บจัดอันดับ topbestbrand คลิกเริ่มจากตัวฝั่งอเมริกาก่อน Ester-C เราจะเห็นได้ว่า บริษัทผู้ผลิต Ester-C อนุญาตให้จัดจำหน่าย Ester-C ผ่านแบรนด์ดังคือ American Health และ Solgar เท่านั้น ซึ่งแบรนด์นี้มีมาอย่างยาวนานแล้ว ชูโรงความเด่นในเรื่อง Vitamin C with non-acid นั่นก็คือไม่มีกรดกัดกระเพาะจ๊ะปริมาณ : 240 แคปซูล / กระปุกราคา : 850 บาทสถานที่ซื้อ : ในเว็บไซต์ออนไลน์ หรือร้านขายยาชั้นนำของอเมริกาผลิตที่ : อเมริกาส่วนผสมที่เขียนในสลากในปริมาณต่อ 2 แคปซูลVitamin C (as Ester-C Calcium Ascorbate) 1,000 mg (1 g)Calcium (as Ester-C Calcium Ascorbate) 110 mgCitrus Bioflavonoids Complex 400 mgCitrus Bioflavonoids (Citrus sinensis) (fruit), Sweet Orange, Tangerine, Lime, Lemon, Acerola, Rutin, Hesperidin Complex (Citrus spp.) (fruit), Naturally Occurring Vitamin C Metabolitesสรรพคุณ Ester-C เป็นวิตามินซีที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นตรงที่ตัวเอสเทอร์ซี อยู่ในรูปแบบของเกลือแคลเซียมแอสคอร์เบท (Calcium Ascorbate) ดังนั้นจะเห็นข้างฉลากว่ามี Calcium Ascorbate 110 มิลลิกรัม ซึ่งมีค่า pH เป็นกลาง ที่ไม่เป็นกรด ซึ่งตรงนี้มันส่งผลดีต่อกระเพาะอาหารมาก ซึ่งจากสรรพคุณของเจ้าตัวนี้เขาบอกว่า ไม่กัดกระเพาะ จึงไม่ทำให้ระคายเคืองเหมือนวิตามินซีรูปแบบอื่น ๆทานตอนท้องว่างได้ดูดซึมดีกว่าวิตามินปกติ 4 เท่า และอยู่ได้นานกว่าปกติ 4 เท่าเช่นกันEster-C ไม่ตกตะกอนในร่างกาย ไม่ต้องกลัวเรื่องการเป็นนิ่ว เรียกได้ว่าผลข้างเคียงน้อยมากเลย ไม่มีส่วนผสมของยีสต์ กลูเทน ขนมปัง นม ไข่ โซเดียมลักษณะเม็ด เป็นแคปซูลกลืนง่ายมาก กลิ่นยาอ่อน ๆ ไม่แรง ทานพร้อมอาหาร วันละ 2 ครั้งต่อวันสรุปการรีวิว Ester-Cข้อดีคือ ตัวนี้เราทานตอนท้องว่างรู้สึกดี ไม่แสบท้อง แล้วก็รู้สึกว่าผิวลื่น ๆ ขึ้น พบว่าทานมา 2 เดือนที่ทานไม่เป็นหวัด ราคาค่อนข้างถูกเพราะได้ถึง 240 แคปซูล ประมาณ 800 กว่าบาท และอันนี้เป็นแบบ Vegetarian / สูตรมังสวิรัติ ด้วย คนกินเจทานได้ แคปซูลไม่ได้ทำมาจากเนื้อสัตว์ข้อเสียคือ แต่มีอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้บางวันคะแนนรวม ๆ 5/5 คะแนน ช่วยเรื่องหวัด 5/5 คะแนนผิวกระจ่างใส 3/5 คะแนน (ยังไม่เห็นผลชัดเจน)รักษาสิว รอยดำบนหน้า 4/5 คะแนน รู้สึกหลังทานได้ประมาณ 1 เดือนพวกรอยสิวก็จางลงด้วย*คะแนนและความพึงพอใจอาจจะแล้วแต่การดูดซึมของร่างกายแต่ละบุคคลนะแบรนด์ที่ 2 แบรนด์ DHC ที่ยอดขายในไทยดีมาก ๆ และติดอันดับหลายโพลสำรวจว่าเป็นวิตามินดี กินง่าย เม็ดเล็กปริมาณ : 120 แคปซูล / ซองราคา : 250 บาทสถานที่ซื้อ : วัตสัน, ซุรุฮะ, มัตสีคิโยะ หรือช่องทางออนไลน์ ในไทยหาซื้อได้ง่ายมากผลิตที่ : ญี่ปุ่นส่วนประกอบที่เขียนในสลากในปริมาณต่อ 2 แคปซูลVitamin C 2 เม็ด มีปริมาณ vitamin C 1000 มิลลิกรัมVitamin B2 2 มก.สรรพคุณ ของ DHC ที่กล่าวไว้ว่า ช่วยให้ผิวสดใส ลดความหมองคล้ำ ป้องกันหวัดลักษณะเม็ด เป็นแคปซูลเล็กกว่าของ Ester-C กลืนง่ายกว่า กลิ่นยาไม่มี แคปซูลค่อนข้างหนา (จากการบีบดู) ทานพร้อมอาหาร วันละ 2 ครั้งต่อวันสรุปการรีวิว DHC vitamin cข้อดีคือ หาซื้อได้ง่ายมาก ๆ และ ตัวนี้ทานง่าย คือเป็นเม็ดเล็กมาก ๆ ไม่ต้องกลัวสำหรับคนทานยายากเลยข้อเสียคือ อาจจะไม่มีแคลเซียมในเม็ดยา และถ้าหากทานตอนท้องว่างอาจจะแสบกะเพาะได้คะแนนรวม ๆ 4/5 คะแนน ช่วยเรื่องหวัด 4/5 คะแนน อันนี้เรายังรู้สึกว่าเป็นหวัดบ้างครั้งคราวใน 2 เดือนที่รับประทานมาผิวกระจ่างใส 3/5 คะแนน (ยังไม่เห็นผลชัดเจน)รักษาสิว รอยดำบนหน้า 3/5 คะแนน (ยังไม่เห็นผลชัดเจนเท่าไหร่ พวกรอยสิวยังรู้สึกไม่ได้จางลงเท่าไหร่ในขณะที่เราทาครีมตามปกติเหมือนตอนกิน Ester-C)*คะแนนและความพึงพอใจอาจจะแล้วแต่การดูดซึมของร่างกายแต่ละบุคคลนะสรุปรวมคะแนน ให้ Ester-C ไปเลย 5/5 ดาว และให้ DHC 4/5 ดาว เพราะประทับใจด้านราคาและปริมาณรวมไปถึงการไม่กัดกระเพาะของ Ester-C มากกว่าเพราะหลายครั้งที่ลืมทานจะหยิบมาทานตอนท้องว่าง แล้วก็ช่วยเรื่องหวัดได้ดีกว่าโดยไม่เคยเป็นหวัดเลยระหว่างทดลองทาน ทั้งนี้ผลการรับประทานขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลนะจ๊ะ*ภาพประกอบและภาพปกโดยผู้เขียน