9 ทริคลดการนั่งนานเกินไป เพื่อส่งเสริมสุขอนามัย ทำยังไงจะดี มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในปัจจุบันการนั่งทำงานนานกลายเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อย และแทบจะเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง นักเรียนหรือนักศึกษาที่นั่งเรียนและทำการบ้านยาวนาน รวมไปถึงการใช้เวลาพักผ่อนกับหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือทีวี ล้วนทำให้ร่างกายอยู่ในท่าเดียวนานเกินไป ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากรูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปสู่ความสะดวกสบายมากขึ้น จึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวร่างกายลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับอดีต โดยความเสี่ยงที่เกิดจากการนั่งนานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความเมื่อยล้าหรืออาการปวดกล้ามเนื้อเท่านั้นค่ะ แต่ยังเชื่อมโยงกับปัญหาด้านร่างกายที่ร้ายแรงหลายด้าน เช่น ออฟฟิศซินโดรมที่เกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นประสาทถูกกดทับ การไหลเวียนเลือดที่ไม่สะดวกจนเสี่ยงต่อภาวะต่างๆ และความเจ็บป่วยในรูปแบบอื่นๆ จะเห็นได้ว่าการนั่งนานไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลระยะยาวต่อทั้งกายและใจค่ะ และต่อไปนี้คือทริคลดการนั่งนานเกินไปในทุกๆ วันค่ะ 1. เปลี่ยนท่าทางขณะทำงาน การเปลี่ยนท่าทางขณะทำงานถือเป็นวิธีง่ายๆ แต่ทรงพลังในการลดอาการเมื่อยล้าและป้องกันความเจ็บป่วยจากการนั่งนานเกินไปค่ะ เพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่นิ่งในท่าเดิมต่อเนื่องหลายชั่วโมง การนั่งในท่าเดียวเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด รวมไปถึงกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ซึ่งการลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทางทุก 30–60 นาที เช่น จากการนั่งหันไปยืดเหยียด หรือลุกขึ้นเดินสั้นๆ รอบโต๊ะ ช่วยให้ร่างกายกลับมาสดชื่น เลือดสูบฉีดดีขึ้น และลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาเกี่ยวกับร่างกายในระยะยาวได้ นอกจากการลุกขึ้นเดินแล้ว การปรับเปลี่ยนท่านั่งหรือท่ายืนขณะทำงานก็มีส่วนช่วยอย่างมากค่ะ เช่น การปรับเก้าอี้ให้รองรับหลังได้พอดี การนั่งหลังตรงโดยไม่งอไหล่ หรือการใช้โต๊ะทำงานแบบปรับระดับที่สามารถสลับระหว่างนั่งกับยืนได้ตลอดทั้งวัน การเคลื่อนไหวเล็กๆ ระหว่างทำงาน เช่น หมุนคอ หมุนไหล่ หรือเหยียดขาใต้โต๊ะ ก็ถือเป็นการเปลี่ยนท่าที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เช่นกัน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดอาการเมื่อยล้า แต่ยังเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการทำงาน เพราะร่างกายที่ผ่อนคลายย่อมช่วยให้จิตใจทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย 2. ใช้โต๊ะทำงานแบบปรับระดับ ปัจจุบันโต๊ะทำงานแบบปรับระดับได้ ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่อย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับท่าทางระหว่างการนั่งและการยืนได้ตลอดทั้งวัน เพราะการนั่งนานเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ไหล่ และคอ รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ ตามมา การใช้โต๊ะปรับระดับจึงช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ โดยการยืนทำงานสลับกับการนั่ง สามารถทำให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหวได้ค่ะ นอกจากนี้โต๊ะปรับระดับยังช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อร่างกายไม่รู้สึกเมื่อยล้าเกินไป สมองก็สามารถจดจ่อกับงานได้ดีขึ้น โดยต้องสลับท่าทุก 30–60 นาที เช่น นั่ง 45 นาที แล้วยืน 15 นาที เพื่อให้ร่างกายสมดุล ไม่ใช่ว่ายืนตลอดจนเกิดอาการปวดขา ข้อสำคัญคือต้องปรับความสูงของโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับระดับสายตาและแขนค่ะ เพื่อป้องกันการก้มคอหรือยกไหล่จนตึงเกินไป หากใช้อย่างถูกวิธี โต๊ะปรับระดับจึงไม่เพียงเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างสุขอนามัยการทำงานที่ยั่งยืนนะคะ 3. ตั้งเวลาเตือนให้ลุกขึ้นขยับ การตั้งเวลาเตือนให้ลุกขึ้นขยับ ถือเป็นหนึ่งในวิธีการง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันปัญหาจากการนั่งทำงานนานๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ เพราะร่างกายของเราต้องการการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี การนั่งในท่าเดิมนานเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง ปวดคอ บ่า และหลัง อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม การตั้งนาฬิกาปลุกหรือใช้แอปพลิเคชันคอยแจ้งเตือนทุกๆ 30–60 นาที เพื่อให้ลุกขึ้นมายืดเหยียดร่างกาย จิบชา กาแฟ หรือน้ำสักแก้ว จะช่วยให้ร่างกายได้พักและกลับมาทำงานอย่างมีพลังมากขึ้น นอกจากช่วยลดอาการเมื่อยล้าแล้ว การตั้งเวลาเตือนยังมีส่วนช่วยให้เรามีสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นด้วย เพราะทุกครั้งที่เราลุกขึ้นขยับ จะเป็นการรีเซ็ตทั้งร่างกายและจิตใจเล็กๆ ทำให้สมองปลอดโปร่งและพร้อมรับข้อมูลใหม่ได้ดีกว่าเดิม การเลือกวิธีเตือนก็ทำได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งปลุกในโทรศัพท์ ใช้นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ หรือแม้แต่ใช้ปฏิทินดิจิทัลที่เตือนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอค่ะ หากเราทำเป็นนิสัยจะช่วยลดอาการเจ็บป่วยจากการทำงาน และทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความสมดุลมากยิ่งขึ้นนะคะ 4. เดินสั้นๆ ระหว่างวัน การเดินสั้นๆ ระหว่างวัน เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีมากในการคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานนานๆ ค่ะ การลุกขึ้นมาเดินเพียงไม่กี่นาทีช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วร่างกาย ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น แม้จะเป็นการเดินภายในออฟฟิศ เดินไปห้องน้ำ กดน้ำดื่ม หรือเดินออกไปสูดอากาศนอกตึกสักครู่ ก็ถือว่ามีประโยชน์ เพราะเป็นการเปลี่ยนท่าทางและพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปพร้อมกัน นอกจากนี้การเดินสั้นๆ ยังช่วยให้เราได้ใช้พลังงานมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่มักเกิดจากการนั่งทำงานนานๆ ได้อีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจเลือกใช้วิธีตั้งเวลาเตือนตัวเองให้ลุกขึ้นเดินทุก 1 ชั่วโมง หรือใช้โอกาสเล็กๆ ในการเคลื่อนไหว เช่น เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานแทนการส่งข้อความ การเลือกใช้บันไดแทนลิฟต์ในบางครั้ง หรือเดินเล่นรอบโต๊ะหลังประชุมเสร็จ ทั้งหมดนี้เป็นการเดินสั้นๆ ที่สะสมผลลัพธ์เชิงบวกต่อร่างกายในระยะยาวได้อย่างชัดเจนค่ะ 5. ดื่มน้ำบ่อยๆ การลุกไปดื่มน้ำบ่อยๆ ระหว่างวันถือเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยลดการนั่งทำงานนานได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติค่ะ เพราะทุกครั้งที่เราลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบแก้วน้ำหรือเติมน้ำ ร่างกายจะได้เปลี่ยนท่าทาง เคลื่อนไหว และยืดเหยียดโดยอัตโนมัติ การลุกขึ้นเดินเพียงไม่กี่นาที ก็มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ลดความเมื่อยล้าในส่วนคอ บ่า ไหล่ และหลัง อีกทั้งยังทำให้ดวงตาได้พักจากการจ้องหน้าจอนานๆ จึงช่วยลดอาการตาล้าและปวดศีรษะได้ด้วย การสร้างกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ยังช่วยป้องกันออฟฟิศซินโดรมที่มักเกิดจากการนั่งท่าเดิมนานเกินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยค่ะ นอกจากประโยชน์ด้านการขยับร่างกายแล้ว การดื่มน้ำบ่อยๆ ยังช่วยส่งเสริมในหลายมิติ เพราะร่างกายที่ได้รับน้ำเพียงพอ ป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเวียนหัวได้ง่าย การใช้วิธีดื่มน้ำเป็นตัวกระตุ้นให้ลุกจากเก้าอี้จึงถือเป็นการดูแลตัวเองสองต่อ หากทำจนเป็นนิสัย จะช่วยให้การทำงานทั้งวันมีพลัง สดชื่น และลดความเสี่ยงจากการนั่งนานได้อย่างยั่งยืนค่ะ 6. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ รู้ไหมคะว่า การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ ระหว่างการทำงาน เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยคลายความตึงเครียดของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ก็ช่วยลดอาการเกร็งที่สะสมจากการนั่งทำงานนานๆ โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง การยืดกล้ามเนื้อยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่นและสมองปลอดโปร่งขึ้น จึงเป็นการพักผ่อนร่างกายแบบสั้นๆ ที่ไม่ทำให้เสียเวลาและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ท่าทางซับซ้อนค่ะ เพียงหมุนคอช้าๆ เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ บิดเอวเล็กน้อย หรือเหยียดขาใต้โต๊ะ ก็เพียงพอที่จะช่วยคลายความตึงและลดความเมื่อยล้าได้แล้ว หากทำเป็นกิจวัตรทุกๆ 1–2 ชั่วโมง จะช่วยป้องกันออฟฟิศซินโดรมและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อในระยะยาวได้ อีกทั้งยังช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เหมือนได้รีเซ็ตพลังงานก่อนกลับเข้าสู่การทำงานรอบใหม่อย่างมีสมาธิและมีแรงบวกมากกว่าเดิมค่ะ 7. ใช้บันไดแทนลิฟต์ คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การใช้บันไดแทนลิฟต์ถือเป็นการออกกำลังกายเล็กๆ ระหว่างวันทำงานที่ให้ผลลัพธ์ต่อสุขอนามัยมากกว่าที่คิด ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นหรือลงบันได ร่างกายจะได้ใช้กล้ามเนื้อขา สะโพก และหัวใจในการทำงานร่วมกัน ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นและช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการยืนเฉยๆ ในลิฟต์ การเดินขึ้นบันไดเพียง 2–3 ชั้นต่อวันสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย และยังเป็นวิธีง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปออกกำลังกายเพิ่มนอกเวลาค่ะ นอกจากประโยชน์ทางกายภาพแล้ว การใช้บันไดแทนลิฟต์ยังช่วยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้กระฉับกระเฉงและตื่นตัวมากขึ้น เพราะการขยับร่างกายเล็กน้อยหลายครั้งตลอดวันสามารถสะสมเป็นพลังงานที่เผาผลาญได้มากในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดความตึงเครียดจากการนั่งโต๊ะทำงานนานๆ หากทำจนเป็นนิสัย การเลือกเดินขึ้นบันไดแม้เพียงไม่กี่ขั้น ก็เป็นการลงทุนสุขอนามัยที่คุ้มค่าและยั่งยืน เพราะทำให้ทั้งร่างกายและใจแข็งแรงมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์หรือเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ะ 8. ใช้เวลาพักกลางวันให้คุ้มค่า การใช้เวลาพักกลางวันให้คุ้มค่าถือเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ในการดูแลทั้งร่างกายและใจในช่วงเวลาที่เร่งรีบของวันทำงาน หลายคนมักใช้เวลานี้ไปกับการรีบกินข้าวและกลับมานั่งโต๊ะต่อทันที โดยไม่ให้โอกาสร่างกายและสมองได้พักจริงๆ แต่แท้จริงแล้วช่วงพักกลางวันคือโอกาสทองที่จะรีเซ็ตพลังงานใหม่ค่ะ ซึ่งการลุกออกไปทานอาหารในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เดินเล่นสั้นๆ หรือเลือกนั่งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ล้วนช่วยลดความเครียดสะสม และทำให้จิตใจพร้อมกลับมาลุยงานในช่วงบ่ายได้อย่างสดชื่นได้ ซึ่งนอกจากการพักร่างกายแล้ว การใช้เวลาพักกลางวันอย่างคุ้มค่ายังหมายถึงการดูแลจิตใจด้วย เช่น เลือกอ่านหนังสือที่ชอบ ฟังเพลงเบาๆ ทำสมาธิสั้นๆ หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในเรื่องสบายๆ ก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายและเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้ การแยกตัวออกจากบรรยากาศงานแม้เพียงครู่เดียว จะทำให้สมองได้พักการคิดที่ต่อเนื่องยาวนาน ลดโอกาสสมองล้าและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ เมื่อเรากลับมาทำงานในช่วงบ่าย จึงสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิ และมีพลังมากขึ้นกว่าการนั่งทำงานติดโต๊ะตลอดทั้งวันค่ะ 9. เปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างให้ทำในท่ายืน หลายคนยังไม่รู้ว่า การเปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างให้ทำในท่ายืน ถือเป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยลดเวลาการนั่งและเพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันได้อย่างแนบเนียนค่ะ เช่น การรับโทรศัพท์ การคุยงานสั้นๆ การอ่านเอกสาร หรือแม้แต่การฟังการประชุมออนไลน์ ซึ่งการยืนทำกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายได้ยืดเหยียดตามธรรมชาติ เลือดหมุนเวียนดีขึ้น และลดการกดทับของกล้ามเนื้อส่วนล่างจากการนั่งนานเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ไม่รู้สึกง่วงซึมเหมือนตอนนั่งต่อเนื่องเป็นเวลานานค่ะ และการทำงานในท่ายืนยังส่งผลดีต่อสมาธิและพลังงานในการทำงาน เพราะการยืนช่วยให้ท่าทางเปิดมากขึ้น การหายใจลึกและเต็มปอดขึ้น ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากกว่าเดิม หลายคนยังพบว่าการยืนคุยโทรศัพท์หรือยืนเสนอไอเดีย ทำให้คิดได้คล่องและมั่นใจมากขึ้น การจัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะ เช่น ใช้โต๊ะปรับระดับหรือหาพื้นที่เล็กๆ สำหรับงานที่ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ก็จะช่วยให้การยืนทำงานเป็นเรื่องง่ายและเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน เมื่อทำเป็นนิสัยแล้ว การยืนสลับกับการนั่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการนั่งนานและส่งเสริมสุขอนามัยได้ในระยะยาวค่ะ ก็จบแล้วค่ะ พอจะมองภาพออกแล้วใช่ไหมคะว่าเราต้องทำอะไรบ้าง หากเรมีความเสี่ยงจากการนั่งนานๆ ซึ่งการลดการนั่งทำงานนานๆ ด้วยพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการป้องกันที่คุ้มค่าและง่ายที่สุดค่ะ โดยวิธีอย่างการลุกขึ้นเดินสั้นๆ ทุกชั่วโมง ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ ที่โต๊ะทำงาน การใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือแม้แต่การเปลี่ยนบางกิจกรรมให้ทำในท่ายืน ล้วนช่วยลดแรงกดทับที่กล้ามเนื้อและข้อต่อ ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และป้องกันอาการเมื่อยล้าสะสม หากทำเป็นนิสัยต่อเนื่อง ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวและมีความแข็งแรงมากขึ้นได้ และสิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจ คือ การดูแลร่างกายไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไป แต่เกิดจากการเคลื่อนไหวจากจุดเล็กๆ ที่สม่ำเสมอในแต่ละวัน การตั้งเวลาเตือนให้ลุกขึ้นขยับทุก 30–60 นาที การใช้ช่วงพักกลางวันให้คุ้มค่า หรือแม้แต่การลุกไปหยิบเอกสารแทนการฝากเพื่อนช่วย ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ร่างกายไม่อยู่ในท่าเดียวนานเกินไป การเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้พัก ลดความเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม และยังช่วยให้สมองตื่นตัว มีสมาธิ และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการลงทุนเวลาเพียงไม่กี่นาทีสามารถคืนผลลัพธ์ต่อร่างกายที่ยั่งยืนได้จริง ในมุมมองระยะยาวการลุกขึ้นขยับเป็นประจำยังช่วยสร้างสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น เพราะสุขอนามัยที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายหนักเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรักษานิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำต่อเนื่องทุกวัน การลุกขึ้นดื่มน้ำ การเดินขึ้นบันได การยืดเหยียดเล็กน้อย ล้วนเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเสียเงินแต่ได้ผลลัพธ์มหาศาล ทั้งลดความเสี่ยงของความเจ็บป่วย อีกทั้งยังทำให้การใช้ชีวิตมีพลัง สดชื่น และพร้อมรับมือกับงานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้เต็มที่ ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการลุกขึ้นขยับ จึงไม่ใช่เพียงการป้องกัน แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในทุกๆ วันค่ะ ที่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนประยุกต์ใช้ทุกแนวทางรวมๆ กันค่ะ ที่บางครั้งก็ได้ทำบางอย่างมากหน่อย แต่ในบางวันก็ได้เพียงไม่กี่ข้อ ซึ่งการมีแอปช่วยเตือนให้หยุดพัก เป็นหนึ่งแนวทางของผู้เขียนนำมาปรับใช้ค่ะ การเดินไปดื่มน้ำ การมีเก้าอี้แบบปรับระดับได้ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ และอื่นๆ ตามโอกาสค่ะ ยังไงนั้นก็ลองนำไปปรับใช้ค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #การยศาสตร์ #นั่งทำงานนาน_ทำไงดี #วิธีส่งเสริมสุขภาพ #Ergonomics #ออฟฟิศซินโดรม เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 จากแอป Pomodoro และ แอป Stand Up-Reminder and Timer, ภาพที่ 2 โดยผู้เขียน, ภาพที่ 3 โดย Simon Ray จาก Unsplash และภาพที่ 4 โดย Jud Mackrill จาก Unsplash เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 10 วิธีลดความเครียดสะสม จากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา 8 วิธีลดอาการปวดขา จากการเดินเป็นเวลานาน ต้องทำอะไรบ้าง วิธีดูแลตัวเอง รับมือสารก่อภูมิแพ้หน้าฝน ทำยังไงดี เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !