ในวัยทำงานของเราทุกคน มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่า ทำไมความกดดันมันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสิ่งที่เราเคยทำได้ จัดการมันได้ทุกอย่าง ทำไมวันนี้มันยากเย็นขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เราถูกโยกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน ความมั่นใจที่เคยมีมันหายไปหมด เราต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ลองผิดลองถูก กังวลกับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานที่อาจจะไม่ได้คิดเหมือนกันกับเรา กังวลกับผลงานตัวเองที่มันอาจจะออกมาไม่ได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ สุดท้ายเราก็จะลงเอยด้วยการกดดันตัวเอง จนบางครั้งเราเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น คิดวนไปวนมาในหัวเยอะแยะไปหมดแต่ถ่ายทอดออกมาไม่ได้ เพราะกลัวคนจะไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยวันหนึ่งที่เรากำลังต่อสู้กับความกดดันในตัวเราเอง เราพบว่า เรากำลังตอบอีเมล์เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เราอ่านข้อความที่เค้าส่งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามอ่านและตีความไปต่างๆนาๆ จนเผลอคิดจินตนาการไปว่าเพื่อนร่วมงานต้องไม่ชอบเราแน่ๆ กำลังตำหนิเราอยู่แน่ๆ หรือแม้กระทั่งเกิดคำถามมากมายว่าเพื่อนร่วมงานทำไมถึงทำแบบนี้กับเรา พอเรากำลังจะพิมพ์ตอบไป เราเขียนเยอะแยะมากมาย วกไปวนมา ไม่เข้าประเด็น เขียนแล้วลบไปเรื่อยๆ เราเริ่มหงุดหงิดตัวเองว่าเราเป็นอะไร ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ การตอบอีเมล์เพื่อนร่วมงานไม่ควรจะใช้เวลามากขนาดนี้ หรือคิดเยอะขนาดนี้ วันนั้นจบด้วยการที่เราพยายามเขียนตอบเมล์ให้สั้นที่สุด เพื่อไม่ให้ความคิดวนๆของเรามันไปปรากฎบนตัวหนังสือ จังหวะที่กดส่งคือมีแต่ความกังวลเต็มไปหมดว่าผู้รับจะรู้สึกอย่างไรกับเรา คิดอย่างไรกับเรา จินตนาการไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแม้จะกดส่งไปแล้วก็ตามเรามีโอกาสได้คุยกับพี่คนหนึ่งที่เป็นจิตอาสาให้คำปรึกษา หลังจากฟังเรื่องราวของเรา เค้าบอกว่าเรามาลองทำ body scan กันนะ เค้าบอกให้เราหลับตานั่งในท่าที่ผ่อนคลายสบายๆที่สุด จากนั้นให้เราเริ่มสำรวจข้างในร่างกายของตัวเองไล่ตั้งแต่ศรีษะลงมาที่หน้า คอ บ่า ช่วงกลางลำตัว แขน ขา จนถึงปลายเท้า พร้อมกับให้เราสำรวจหาว่าบริเวณไหนของร่างกายที่มันตอบสนองต่อการสแกนของเรา มันมีความหนักหน่วงเกิดขึ้นบริเวณไหนบ้าง เราค้นพบว่า เรารู้สึกเหมือนมีแรงกดทับที่บ่าทั้งสองข้าง เค้าถามเราว่าถ้าให้จินตนาการต่อไป เราเห็นเค้าเป็นตัวอะไร และอยากตั้งชื่อมันว่าอย่างไร อยู่ดีดีภาพในหัวเราก็คือตุ๊กตาเฟอบี้สีดำ ตาสีแดงก่ำดุร้าย ยืนอยู่ที่บ่าทางด้านขวาของเรา เราเลยตั้งชื่อให้มันว่า "เฟอบี้" จากนั้นพี่เค้าแนะนำว่าให้เราชวนเจ้าเฟอบี้มานั่งตรงหน้าเรา พูดคุยกัน ถามมันว่ามันต้องการอะไรจากเรา ซึ่งในสถานการณ์นี้มันก็คือบทสนทนาที่เราพูดโต้ตอบกับตัวเอง โดยเราคือตัวเราเอง และอีกด้านหนึ่ง เฟอบี้ ก็คือตัวเราเองด้วยเหมือนกัน เรา: เฟอบี้ นายต้องการอะไรจากเรา มายืนคอยควบคุมบงการความคิดและการกระทำของเราทำไมเฟอบี้: เราเห็นว่านายกำลังเจอปัญหา นายเริ่มทำงานได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน และนายอ่อนแอขึ้น เราจึงต้องมาคอยเคี่ยวเข็ญให้นายทำให้มันดีกว่านี้เรา: โอเค แต่เราเหนื่อยนะ เรากดดัน และนายใจร้ายกับเรามากเกินไปหรือป่าว เวลาเราทำอะไรผิดพลาด นายก็จะมาทับถมเรา ให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นไปอีก เฟอบี้: เราทำเพราะเราหวังดีนะ เราอยากให้นายกลับมาประสบความสำเร็จเหมือนเดิมไง เราทำทุกอย่างก็เพื่อนายเท่านั้นระหว่างนี้ พี่นักให้คำปรึกษาบอกว่า เฟอบี้คือเพื่อนของเรา ลองหาวิธีพูดคุยกับเค้าเพื่อหาทางออกร่วมกันที่เราเองก็จะแฮปปี้ด้วยเรา: โอเค เฟอบี้ เราขอบคุณนายมากนะที่เป็นห่วงและหวังดีกับเราเสมอ เราว่าแบบนี้ได้มั้ย เราขอให้นายเชื่อมั่นในตัวเรา ว่าเราจะสามารถพาตัวเองผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ เราจัดการมันได้แน่นอน และเราพร้อมที่จะเรียนรู้กับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ขอให้เชื่อใจเรานะเฟอบี้: แต่ว่า...... (เฟอบี้ยังคงระแวงและไม่ไว้ใจเท่าไหร่ เราต้องพูดโน้มน้าวไปมาพอสมควรจนกว่าเฟอบี้จะยอมเชื่อ) โอเค... แบบนั้นก็ได้ เราจะคอยสังเกตการณ์นายไปสักพักนะ ถ้าเห็นว่านายทำได้อย่างที่พูดจริงๆ เราจะไม่จู้จี้กับนายมาก เราเองก็จะได้พักเหมือนกัน เคี่ยวเข็ญนายมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ นายไม่รู้หรอกเรา: (คิดในใจ ก็ยังไม่เลิกแขวะเนอะ) โอเคจ้า งั้นเราเป็นมิตรกันนะ---- จบบทสนทนา ----จากวันนั้น เราพบว่าบ่าเราเบาขึ้นเยอะเลย ไม่หนักหน่วงเหมือนเมื่อก่อน ความมั่นใจของเราค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง เรามีความกล้าที่จะนำเสนอไอเดียของเรากับทีมได้มากขึ้น โดยที่ไม่ได้กังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง เพราะเป้าหมายของเราคือการทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายเราใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ลืมเรื่องเฟอบี้ไปเลย ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีโอกาสได้ไปเข้าคลาสอบรม แล้ววิทยากรเริ่มกิจกรรมตอนแรกด้วยการทำ body scan แล้วอยู่ดีดีเฟอบี้ก็โผล่มาเฉยเลย ซึ่งเราลืมไปแทบจะสนิทละ แต่คราวนี้เฟอบี้เป็นสีขาว น่ารัก ตาแบ๊วเลย หัวเราะร่าเริงมีความสุขมาก พูดกับเราว่า เก่งมากเลยเพื่อน นายทำได้อย่างที่พูดจริงๆด้วย เราเลยได้พักผ่อนชิวๆ แต่ยังคงคิดถึงนายเสมอนะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้าง เราได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มและตอบกลับไปว่า ได้สิ มีความสุขก็ดีแล้ว และนายดูสะอาดขึ้นนะ รู้จักใส่ big eye กับเค้าซะด้วย ก็แซวๆไป ถึงตอนนี้เราค้นพบว่ามิตรภาพที่ยั่งยืนและมีคุณค่าต่อตัวเราเองที่สุดคือ มิตรภาพที่มีให้กับตัวเอง มันคือการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และเชื่อมั่นในตนเอง ไม่แน่ว่าคุณผู้อ่าน อาจจะมีเพื่อนคล้ายๆ เฟอบี้ ที่กำลังรอให้คุณทำความรู้จักกับมันอยู่ก็เป็นได้ และที่สำคัญคือ เค้าเหล่านั้นหวังดีกับเราเสมอ ภาพหน้าปกโดย Nigam Machchhar/ จาก Pexelsภาพที่1โดย SHVETS production / Pexelsภาพที่2โดย Toni Cuenca/Pexelsภาพที่3โดย Alex Green/Pexelsภาพที่4โดย Shihab Nymur/Pexelsอยากผอมหุ่นดี อยากมีซิกแพค หาอินสปายลดน้ำหนัก เข้าร่วมด่วนที่ฟิตแอนด์เฟิร์มคอมมูนิตี้