อย่ามีเพศสัมพันธ์ให้ลูกรู้เห็น (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : StarFrames / pixabay ผมได้ยินเสียงแม่ครวญครางอย่างเจ็บปวดและแสบสันทุกๆคืนตอนดึกๆ บางครั้งผมก็ได้ยินเสียงแม่ที่สั่นเครือร้องว่า อย่าทำแรงน้องเจ็บ น้องเจ็บ แม่ถูกพ่อทำร้ายทุกๆคืน ผมรู้สึกโกรธและเกลียดพ่อมากๆที่ทำร้ายแม่ที่ไร้ทางต่อสู้ ผมรู้สึกสงสารแม่อย่างมากตลอดมา แต่ก็ไม่รู้จะช่วยแม่อย่างไร ผมรับรู้เหตุการที่พ่อทำร้ายแม่เช่นนี้นานนับหลายปี ตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งแยกห้องนอนส่วนตัวเมื่อผมเริ่มเรียนชั้นประถมศึกษา แม้ภายหลังผมจะรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่ผมรับรู้มานั้นคือการมีเพศสัมพันธ์ของพ่อและแม่ก็ตาม แต่ผมก็ได้ฝังใจและใส่ความหมายไปจนถึงจิตไร้สำนึกเสียแล้วว่าพ่อทำร้ายแม่ และทำให้ผมเกลียดพ่อตลอดมา ผมไม่เข้าใจว่ากระบวนทางจิตของผมทำงานอย่างไรหรอกครับ แต่ผมเกลียดความเป็นเพศพ่อที่ทำเช่นนั้น และผมสงสารแม่รักแม่เข้าข้างแม่ตลอดมาเรื่อยๆ จนผมเลือกที่จะมีจิตใจเป็นเพศแม่โดยไม่รู้ตัวในที่สุด ในทางตรงกันข้ามผู้รับการปรึกษาอีกรายก็เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า พ่อของเขาก็ทำร้ายแม่ทุกคืนเช่นกัน และทุกคืนที่ได้ยินเสียงแม่ครวญคราง เธอตีความว่าแม่ทุกข์ทรมารซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการถูกพ่อทำร้าย โดยไม่รู้ว่าจะช่วยแม่ได้อย่างไร เธอเล่าว่า เธอหวาดกลัวความเป็นเพศแม่อย่างฝังใจ และจิตใต้สำนึกบอกเธอว่าต้องแข็งแรงเช่นเพศพ่อจึงจะรอดจากการถูกทำร้ายเช่นแม่ และเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นเธอก็รับรู้ว่าเธอเป็นทอมไปแล้วนั่นเอง นั่นคือเหตุการณ์ที่เกย์และทอมหลายคนเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังขณะให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต และการนำเสนอเช่นนี้ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าการมีเพศสัมพันธ์ของพ่อแม่ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกชายกลายเป็นเกย์และลูกสาวกลายเป็นทอม เพราะหลักฐานทางวิชาการยังไม่มากพอที่จะยืนยันเช่นนั้น แต่จากการที่ผู้เขียนพบกรณีดังกล่าวก็มากพอที่จะเป็นข้อคิดแก่สังคมว่า พ่อแม่ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ให้ลูกรับรู้ ภาพจาก : LollipopPhotographyUK / pixabay ซิกมันด์ฟรอยด์ (Sigmund Freud )ได้อธิบายว่าเด็กเล็กวัย3-5ขวบนั้นเรียกว่าวัยที่เกิดปมเอดิเพิส (Oedipus complex)คือเด็กหญิงจะเป็นลูกพ่อ ส่วนเด็กชายจะเป็นลูกแม่ ซึ่งเด็กจะสนใจความปรารถนาเชิงสัมพันธ์สวาทต่อบิดามารดาเพศตรงกันข้ามของเขา นั่นคือ ลูกสาวดึงดูดกับพ่อ ลูกชายดึงดูดกับแม่ โดยฟรอยด์อธิบายว่าการเลียนแบบพ่อแม่ของเด็ก เป็นการแก้ไขปมเอดิเพิสนั่นเอง ดังนั้นผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า การที่เด็กรับรู้การมีเพศสัมพันธ์ของพ่อแม่แล้วตีความว่าพ่อทำร้ายแม่นั้น อาจส่งผลต่อพัฒนาการแก้ปมเอดิเพิสก็เป็นไปได้ทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าเหตุผลทางจิตวิทยาตามทฤษฏีของฟรอยด์ที่กล่าวมา หรือมองว่าเพศสัมพันธ์เป็นความสุขทางธรรมชาติที่คู่สมรสแม้จะมีลูกแล้วพึงได้รับก็ตาม ก็ไม่ควรให้ลูกน้อยรับรู้การมีเพศสัมพันธ์ของพ่อแม่ สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อมีลูกน้อยในวัยทารกที่ยังเดินไม่ได้นั้นคือ ควรให้นอนเตียงเด็กที่ติดกับเตียงนอนของพ่อแม่ จากนั้นเมื่อเด็กเริ่มเดินได้แล้วควรแยกเตียงนอนแต่ยังอยู่ในห้องเดียวกันกับพ่อแม่ แต่อยู่คนละมุมห้อง ภาพจาก : ParalleVision / pixabay และหากไม่มั่นใจว่าลูกหลับสนิทแต่พ่อแม่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์กันควรออกไปทำที่ห้องอื่น จนกว่าเสร็จกิจแล้วจึงค่อยกลับเข้ามานอนในห้องต่อ จนกระทั่งเมื่อลูกอยู่ในวัยประมาณ3ขวบขึ้นไปแล้วควรจะแยกห้องนอนต่างหาก และมีคุณพ่อหรือคุณแม่นอนอยู่กับเขาจนเขาหลับสนิทแล้วค่อยปลีกตัวออกมา ควรทำอย่างนี้ทุกๆคืนจนกว่าลูกจะปรับตัวได้ในที่สุด หากทำได้ดังที่กล่าวมาก็จะสามารถป้องกันไม่ให้ลูกมารับรู้การมีเพศสัมพันธ์ของพ่อแม่ และป้องกันผลกระทบต่อพัฒนาการที่ไม่พึงประสงค์ของลูกได้ในที่สุดภาพปก : DeltaWorks / pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาคุณภาพมนุษย์wuttipong academy, ไอดีไลน์ ac6555เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !