รีเซต

10 วิธีดูแลสุขภาพหลังคลอด สำหรับแม่ที่คลอดธรรมชาติควรทำอะไรบ้าง

10 วิธีดูแลสุขภาพหลังคลอด สำหรับแม่ที่คลอดธรรมชาติควรทำอะไรบ้าง
Beau_Monde
8 สิงหาคม 2565 ( 07:17 )
1.1K

     คุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ คงจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของการดูแลตัวเองหลังคลอดกันอยู่แน่ๆ ค่ะ ยิ่งถ้าเป็นลูกคนแรกด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเป็นกังวลเพราะว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน  วันนี้เราจะมาแนะนำ วิธีการดูแลตัวเองของคุณแม่หลังคลอด โดยจะเป็น 10 วิธีง่ายๆ ที่คุณแม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแต่ละวิธีเราจะต้องดูแลตัวเองตรงไหนและทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันได้เลยค่ะ 

 

 

10 วิธีดูแลสุขภาพหลังคลอด

 

1. ดูแลเรื่องของแผลฝีเย็บ

     คุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ จะมีแผลฝีเย็บที่ยังไม่หายดีค่ะ ซึ่งก็อาจจะทำให้มีอาการชาหรือมีอาการปวดแผลได้ หากยังพักอยู่ที่โรงพยาบาลคุณแม่สามารถขอยาแก้ปวดกับคุณหมอและคุณพยาบาลได้นะคะ และถึงแม้ว่ากลับบ้านไปแล้วคุณหมอก็จะสั่งยาไว้ให้ค่ะ โดยคุณแม่สามารถทานยาได้ทุก 4-6 ชั่วโมง นอกจากนี้คุณแม่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดของแผลฝีเย็บให้ดี อย่าให้อับชื้นและก็อย่าให้ติดเชื้อ โดยเฉพาะเวลาคุณแม่เข้าห้องน้ำ ทั้งตอนอาบน้ำหรือว่าตอนเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย อย่าใช้สายฉีดชำระล้างฉีดเข้าตรงบริเวณบาดแผล รวมถึงอย่าใช้ฝักบัวฉีดบาดแผลฝีเย็บ เพราะอาจจะเกิดโอกาสที่แผลฝีเย็บจะฉีกขาดหรือว่าแผลแยกได้ค่ะ โดยปกติแผลฝีเย็บจะเริ่มสมานติดกันก็ประมาณสัก 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งในช่วงระหว่างนี้เราต้องระวังอย่าให้แผลแยก อย่าให้แผลอักเสบ และอย่าให้แผลเป็นหนองโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผลจะสมานได้ช้าและติดเชื้อค่ะ

 

2. ดูแลเรื่องน้ำคาวปลา

     คุณแม่ที่คลอดเองตามธรรมชาติหรือว่าคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดจะมีน้ำคาวปลาหลังคลอดค่ะ ซึ่งน้ำคาวปลาก็คือพวกเศษเลือด เศษเนื้อเยื่อต่างๆ ที่ออกจากโพรงมดลูก รวมถึงเศษรกที่ตกค้างเล็กน้อย ร่างกายก็จะขับออกมาค่ะ คุณแม่จึงจำเป็นต้องใส่ผ้าอนามัยและหมั่นสังเกตลักษณะของน้ำคาวปลาว่าเป็นอย่างไร ผิดปกติไหม มีสีแดงเข้มขึ้นไหม หรือว่ามีปริมาณที่มากขึ้นไหม ซึ่งคุณแม่ต้องสังเกตที่ผ้าอนามัยทุกครั้งค่ะ รวมถึงควรจะเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วง 1-3 วันแรก หลังจากนั้นน้ำคาวปลาของคุณแม่หลังคลอดจะเริ่มดีขึ้น โดยจะมีสีจางลงและหายไปเมื่อคุณแม่คลอดไปแล้วประมาณ 2 ถึง 6 สัปดาห์ค่ะ แต่ว่าถ้ามรกรณีผิดปกติ น้ำคาวปลาจะมีสีแดงเข้มขึ้นและมีปริมาณมากขึ้น ถ้าใครเกิดแบบนี้ต้องรีบไปพบคุณหมอค่ะ

 

3. เรื่องการให้นมลูก

     คุณแม่ไม่ว่าจะผ่าตัดหรือคลอดเองตามธรรมชาติ จะต้องให้ลูกดูดนมทุก 2-3 ชั่วโมง อย่าปล่อยให้เต้านมคัดตึงเพราะจะทำให้เต้านมของเราไม่ผลิตน้ำนม น้ำนมก็จะมาน้อยและลูกก็จะไม่พอกินนั่นเองค่ะ

 

4. เคลื่อนไหวร่างกาย

     คุณแม่หลังคลอดธรรมชาติควรจะเคลื่อนไหวร่างกายบ้างด้วยการเดินบ้าง เพื่อที่ร่างกายจะได้ขับน้ำคาวปลาที่ค้างในโพรงมดลูกออกมา รวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกายยังช่วยทำให้แผลฝีเย็บหายเร็วขึ้นด้วยค่ะ

 

5. รับประทานอาหาร

     ต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และให้ถูกสุขลักษณะด้วยค่ะ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ของหมักดอง ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด อาหารเหล่านี้ยังไม่แนะนำให้คุณแม่กินในช่วงหลังคลอดนะคะ ทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เพื่อให้สารอาหารช่วยฟื้นฟูร่างกายดีกว่า จะทำให้คุณแม่แข็งแรงได้เร็วขึ้นด้วยหรือจะเลือกกินอาหารที่กระตุ้นน้ำนมก็ได้ค่ะ

 

6. พักผ่อนให้พอ

     แน่นอนว่าคุณแม่อาจจะนอนไม่พอเพราะต้องดูแลเจ้าตัวเล็ก แต่ก็ควรหาเวลานอนให้ได้มากที่สุดค่ะ เพราะถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้น้ำนมมาน้อย ร่างกายฟื้นตัวได้ช้า วิธีการก็คือถ้าลูกนอนหลับ คุณแม่ก็ควรจะหาเวลางีบหรือหาเวลาหลับด้วยค่ะ

 

7. ออกกำลังกาย

     คุณแม่สามารถออกกำลังกายได้นะคะ ซึ่งสามารถทำได้หลังจากคลอดไปแล้วประมาณเดือนครึ่ง โดยเริ่มทีละเบาๆ ก่อนอย่าหักโหมและอย่าเหนื่อยจนเกินไปค่ะ

 

8. ดูแลเส้นผม

     คุณแม่หลังคลอดหลายคนเจอปัญหาว่าผมร่วงเยอะมาก ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนค่ะ และจากคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์แล้วมีการคลอดลูกออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันและทำให้ผมร่วงมากขึ้นค่ะ แต่อาการผมร่วงจะดีขึ้นเมื่อคุณแม่คลอดลูกไปแล้วประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป

 

9. ควรมาตรวจหลังคลอด

     คนแม่ควรจะมาตรวจหลังคลอด ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่คลอดเองตามธรรมชาติหรือคุณแม่ที่ผ่าคลอดก็ตามค่ะ โดยควรจะต้องมาตรวจดูแผลฝีเย็บ ดูว่ามดลูกเข้าอู่หรือไม่ ตรวจมะเร็งปากมดลูก หรือแม้แต่การวางแผนครอบครัว เพื่อที่จะวางแผนในการมีลูกคนต่อไป รวมถึงหากมีปัญหาอะไรต่างๆ ก็จะได้ปรึกษาคุณหมอค่ะ

 

10. เพศสัมพันธ์

     แม่หลังคลอดสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หลังจากที่ตรวจหลังคลอดไปแล้วหรือหลังจากที่คุมกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากมีก่อนหน้านั้นโดยเฉพาะในช่วงที่น้ำคาวปลายังไม่หมด ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อในโพรงมดลูกได้ง่ายกว่าปกติค่ะ

 

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง