รีเซต

แชร์ประสบการณ์ ลดน้ำหนักแบบบ้านๆ 40 kg. ภายใน 1 ปี แบบไม่พึ่งยาลดน้ำหนัก!!

แชร์ประสบการณ์ ลดน้ำหนักแบบบ้านๆ 40 kg. ภายใน 1 ปี แบบไม่พึ่งยาลดน้ำหนัก!!
Faii_Natnista
4 ตุลาคม 2562 ( 16:00 )
3.5K
13

     เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยคิดว่าการลดน้ำหนักเป็นสิบๆ กิโลกรัมนั้นมันยาก และต้องใช้เวลายาวนานในการจะลดให้ได้สักหนึ่งกิโลกรัม แต่! บอกเลยว่าวันนี้ความคิดของสาวๆ จะเปลี่ยนไปค่ะ เพราะมีสาวหลายคนเลยทีเดียวที่สามารถลดน้ำหนักได้มากในเวลาเพียงไม่นาน ซึ่งคุณ Plume Wanitcha เจ้าของอินสตาแกรม wnc.goodhealth ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ เพราะไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะสามารถลดน้ำหนักได้มากถึง 40 kg. ภายในเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น!! ที่สำคัญยังเป็นการลดน้ำหนักด้วยตัวเองล้วนๆ โดยไม่พึ่งยาลดน้ำหนักใดๆ ทั้งสิ้นเลยล่ะค่าา

     สำหรับใครที่อยากได้แรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักดีๆ วันนี้เราก็มีประสบการณ์การลดน้ำหนักของคุณ Plume Wanitcha มาแชร์ให้ได้อ่านกันค่ะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่รวบรวมเทคนิคการลดน้ำหนักดีๆ มาให้หลายๆ คนได้เอาไปทำตามกันด้วย ใครที่อยากมีหุ่นสวยๆ หรืออยากลองลดน้ำหนักกับคนอื่นเขาสักครั้ง ไม่อ่านบอกเลยว่าพลาดนะจ๊ะ!

 

 

แชร์ประสบการณ์ ลดน้ำหนักแบบบ้านๆ 40 kg. ภายใน 1 ปี แบบไม่พึ่งยาลดน้ำหนัก!!

การลดน้ำหนัก 1 ปี กับน้ำหนักที่หายไป 40 kg
Start : 28.09.18 - 107kg.
Now : 28.09.19 - 67kg.
ลดน้ำหนักโดยไม่กินยาลดใดๆ ทั้งสิ้นแค่ออกกำลังกายและเลือกกินอาหารที่ดีต่อร่างกายแค่นั้นจริงๆ

 

     เริ่มแรกส่วนตัวเป็นคนอ้วนแบบอ้วนมากๆ อ้วนมาตั้งแต่เด็กเกิดมาอ้วนเลยก็ว่าได้ ก่อนลดน้ำหนักจุดสูงสุดในชีวิตคือช่วงรับปริญญาน้ำหนัก 107 kg.
ใช่อ่านไม่ผิด 107 kg. มันคือที่สุดในชีวิตแล้วอ่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาช่วงนั้นคือเรียนมหาลัยเริ่มขับรถเป็นก็จะขับรถไปหาร้านบุพเฟ่ต์ หมูกระทะ ชาบู ปิ้งย่างกินกับเอ็มตลอดต่อให้ไกลแค่ไหนก็ไม่เคยหวั่น เพื่อของอร่อยเราไม่พลาด! ข้าวเย็นไม่เคยขาด ของหวานของมันของทอดขอให้บอกไอเลิฟสุดๆ เลิกเรียนทำงานที่มหาลัยกลับดึกแค่ไหน เราคนไทยต้องบริโภคข้าว ข้าวเท่านั้นคือที่สุดของชีวิตแล้ว แต่พอมันถึงจุดที่แบบไม่กล้าชั่งน้ำหนักกลัวรับไม่ได้ และวันนึงลองชั่งดูแม่งกลายเป็น 107 kg.

     คิดในใจ “ซวยแหละ นี่หนัก107kg.แล้วนะเว้ย ไม่คิดจะลดหน่อยหรอ” เลยตกลงกับตัวเองว่าเอาว่ะลองลดหน่อย เรียนจบรับปริญญาแหละลดน้ำหนักขำๆระหว่างรองานหละกัน มันคือวันที่28กันยายน61 เลยเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง จะบอกว่าก่อนที่จะลดครั้งนี้เคยลดตอนมหาลัยตอนปี 2 ลดไปได้ 10 kg.

     แต่ก็กลับไปกินอีกก็อ้วนอีกและอ้วนกว่าเดิม การลดครั้งนี้เลยไม่อยากเครียด ไม่ซีเรียส ลดแบบขำๆ ไม่จริงจัง กลัวผิดหวังอีกไม่อยากเสียใจ เพราะถ้ายิ่งเครียดยิ่งกดดันตัวเองน้ำหนักมันจะไม่ลง ลดแบบชิลๆสบาย เอาที่ตัวเองมีความสุขดีกว่า ตอนแรกไม่กล้าบอกใครเลยนะว่าจะลดน้ำหนักกลัวลดไม่ได้แล้วอายเค้า มีแต่แม่กับเอ็มเท่านั้นที่รู้เรื่องเท่านั้น เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไงในการลดน้ำหนักแค่ลดในแบบของตัวเองที่เข้าใจและเราทำมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ขอแบ่งเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ละกัน เพื่อใครสนใจอยากลองทำตามเราดู

 

รูปทั้งหมดคือตอนรับปริญญา ส.ค. 61 ก่อนลดน้ำหนัก

 

 

1. การกินอาหาร

     การกินมีผลถึง 80% ต่อการลดน้ำหนัก ส่วนอีก 20% คือการออกกำลังกาย สำเราการกินของเรานั้นเราปรับเปลี่ยนการกินหมดทุกอย่าง ทุกอย่างคือทุกอย่างจริงๆ เริ่มจากปกติเป็นคนกินรสจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ต้องเปลี่ยนมากินอาหารที่ปรุงน้อยที่สุด ส่วนมากตอนนั้นเวลาส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเลยเลือกที่จะทำอาหารกินเองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เราใช้เครื่องปรุงเราเปลี่ยนใหม่หมด น้ำปลา น้ำมันหอย ซีอิ๊ว ใช้เป็นโลวโซเดี่ยมทั้งหมด น้ำตาลจะใช้หญ้าหวานแทน หรือถ้าใครไม่ชอบหญ้าหวานก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาลไม่ขัดสีก็ได้ น้ำมันเราใช้น้ำมันคาโนลากับน้ำมันมะกอก แต่ใช้น้อยมากใช้แค่เคลือบกระทะบางๆ พอ

     เนื้อสัตว์เราเลือกกินอกไก่กับสันในไก่ที่ไม่มีหนัง แต่ถ้าใครยังกินอกไก่ไม่ไหวก็กินสะโพกลอกหนังแทนไปก่อน แล้วค่อยๆ เลื่อนขั้นเป็นอกแทน แต่ถ้าเบื่อไก่ก็จะเปลี่ยนเป็นปลา กุ้ง หรือไม่ก็หมูไม่ติดมัน การปรุงอาหารเราจะหลีกเลี่ยงการทอดที่สุด ส่วนมากจะย่าง ปิ้ง ทอด(ไร้น้ำมัน) ต้ม อบ ยำ ลวก นึ่ง

     และที่สำคัญเราหันมากกินผักแบบผักโคตรผักเยอะมาก กินอาหารทุกมื้อต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ แบบครึ่งต่อครึ่ง ผลไม้ก็พยายามกินผลไม้อิ่มนานๆ ฝรั่งคือตัวช่วยที่ดีมาก และที่สำคัญข้าวเราก็ยังกินนะแต่เราเปลี่ยนมากินข้าวไรซ์เบอร์รี่ คีนัว แทนข้าวขาวหอมมะลิ ที่เลิกกินเพราะข้าวหอมมะลิมันอร่อยเกินไปมันจะทำให้เราเพลินเวลากินข้าว

 

ตัวอย่างอาหารที่เราทำทาน ใครสนใจเมนูที่เราทำสามารถไปชมได้ที่ IG : wnc.goodhealth

 

 

     ส่วนใครไม่ทำอาหารกินเอง เวลาเราไปกินอาหารตามสั่ง เมนูยอดฮิตคือ สุกี้น้ำหมู/ไก่ หรือไม่ก็เส้นหมี่น้ำใสไม่กระเทียมเจียว แต่ชีวิตจะขาดบุฟเฟ่ต์ไม่ได้เด็ดขาด ช่วง 1-2 เดือนแรก เรากินคลีนทุกวัน แต่พอมาหลังๆ ชีวิตมันดูขาดรสชาติ เลยตกลงกับเอ็มว่า “เราจะกินบุฟเฟ่ต์เดือนละ1ครั้ง” เรายังกินบุฟเฟต์ได้แต่แค่เราต้องเลือกกิน ปกติหมูสามชั้น เบค่อน มาเถอะสู้ สั่ง10หมด10 แต่ตอนนี้คือก็จะพยายามเลือกร้านที่มี ไก่ ปลา ผัก และมีต้มด้วยจะดีที่สุด น้ำเราเลิกกินน้ำหวาน น้ำอัดลม มา 1 ปีเต็มๆ กินมากสุดคือโค้กซีโร่ โค้กไลท์ แต่ถ้าไม่อยากน้ำอัดลมจริงๆ ก็จะไม่กินจะเน้นไปกินน้ำเปล่ามากกว่า

     เวลาในการกินและปริมาณก็มีผลต่อการลดน้ำหนักสำหรับเรา เรากินมื้อเช้าประมาณ 7 โมงเราจะเน้นกินเนื้อสัตว์ ผักและข้าวในปริมาณที่เยอะที่สุดของวันเราจะมาลงที่มื้อเช้าเป็นหลัก เพราะมื้อเช้าสำคัญที่สุด กลางวันเรากินเที่ยงถึงบ่ายช่วงนี้เราจะกินเบาลงมาหน่อยตามลำดับ และเย็นจะกินไม่เกิน 6 โมงเย็นจะเน้นผักและผลไม้เป็นหลัก ถ้าส่วนมื้อไหนหิวๆ จะกินน้ำเปล่า เราจะวางน้ำเปล่าไว้บนโต๊ะทำงานเวลาไหนหิวหรืออยากกิน ก็น้ำเปล่านี่แหละกินเข้าไปเยอะๆ ฉี่บ่อยหน่อยแต่ไม่อ้วนแน่นอน ส่วนขนมหวาน ขนมปัง เราจะเลือกไปซื้อที่ร้านที่ขายขนมคลีนและจะอ่านแคลอรี่ดูเดี๋ยวนี้ขนมคลีนเยอะมาก ทั้งตามห้างและในเน็ตใครสายของหวานไม่ต้องกลัว ขนมไม่อ้วนก็มีให้กินเช่นกัน แต่ก็ต้องกินในปริมาณที่ไม่เยอะนะ

 

อาหารที่ทานนอกบ้าน

 

 

2. การออกกำลังกาย

     การออกกำลังกายมันแล้วแต่คนนะ บางคนชอบวิ่ง ชอบว่ายน้ำ ชอบฟิตเนส แต่เราไม่ชอบพวกนี้เลยมันเหนื่อยหอบแบบหายใจไม่ทัน เพราะตอนนั้นแบบอ้วนมากอ่ะ แค่เดินขึ้นบันไดก็หอบแล้วอ่ะ เราเลยเลือกเป็นเล่นโยคะ เราไปลงเรียนโยคะกับเพื่อนแม่ที่ทำงาน เล่น 3 วัน/สัปดาห์ วันละ 1 ชม. มีแต่คนถามว่าโยคะลดน้ำหนักเค้าเล่นยังไง นี่ก็ไม่รู้จะอธิบายท่ายังไง มีทั้งท่านอน นั่ง ยืน มีหมดและที่สำคัญมันไม่ใช่โยคะเพื่อคนลดน้ำหนักนะ คนส่วนมากที่ไปเรียนในคอร์สเดียวกันมีทั้งวัยรุ่น คนทำงาน คนแก่ คือเรียนพร้อมกันหมด ท่าที่ครูเลือกมาคือจะมีทั้งเหนื่อยแต่แบบทนไหว กับแค่กำหนดลมหายใจ

     อย่ายึดติดว่าเล่นโยคะน้ำหนักเลยลด ไม่ใช่นะมันคือการเข้าใจผิด เราคิดว่าการออกกำลังกายคือดีหมดทุกอย่าง เอาที่ตัวเองเล่นแล้วถูกใจ เล่นแล้วไม่เบื่อ เล่นแล้วอยากไปเล่นอีก ทำให้มันเหมือนเป็นกิจวัตรอย่างนึงในชีวิตมันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดมากกว่า ลองค้นหาตัวเองดูว่าชอบกีฬาอะไรแล้วลองเล่นมันดู ถ้าไม่เพื่อลดน้ำหนักก็เพื่อสุขภาพตัวเองที่แข็งแรงขึ้น

 

ไปเล่นโยคะ ช่วงเดือน ต.ค.61 ตอนนั้นหนักประมาณ 101 kg.

 

 

3. ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต

     ในเดือนแรกที่เราลด น้ำหนักเราลดลง 5 kg. ตอนนั้นคือเดือน ต.ค. เราเลยตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง ภายในสิ้นปี 61 จะลดให้ได้เหลือ 100 kg. สรุปคือมันทำได้ เลยเริ่มตั้งเป้าหมายไปเรื่อยๆ เอากางเกงที่เคยใส่ไม่ได้มาลอง ลองจนกว่าจะลดไปใส่ได้

     ล่าสุดเราซื้อกางเกงให้ตัวเองเล็กกว่าไซต์จริงประมาณ 1-2 ไซต์และพยายามลดให้ใส่ให้ได้ ถ้ามันใส่ได้วันไหนนั้นแหละ คือมันเราทำสำเร็จไปอีกขั้น
ตอนต้นปีเราตั้งเป้าหมายกับตัวเองให้ลดให้ได้ 20 kg. จาก 90 kg. ให้เหลือ 70 kg.ให้ได้ ตอนนี้เราทำได้แล้วเลยตั้งเป้าหมายใหม่คือก่อนแต่งงานจะลดให้เหลือ 55 kg. ไม่รู้จะทำได้มั้ยมาลุ้นดู แค่หาเป้าหมายเล็กๆ ไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ เอาแค่เป็นแรงกระตุ้นในการลด แต่ที่สำคัญอย่าซีเรียสจนเกินไป ความเครียดมันจะให้เรากดดันตัวเองและลดมันไม่ได้

 

ประมาณเดือน พ.ย. 61

 

 

4. กำลังใจจากคนรอบข้างคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

     วันแรกที่จะลดน้ำหนัก แม่กับแฟนไม่เคยพูดเลยว่าทำไม่ได้ ทั้งสองบอกให้ลองดูเสมอ แม่จะคอยซับพอร์ททั้งเรื่องเงิน ค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าน้ำมันไปเรียน และทุกๆ อย่างที่เราร้องขอ ทุกครั้งที่กลับมาจากเรียนโยคะแม่จะทักตลอด ผอมลงแล้ว หน้าตอบลงแล้ว มีไหปลาร้าแล้ว แม่จะคอยพูดให้กำลังใจเสมอทั้งที่บางทีมันอาจจะไม่จริง55555 แต่มันทำให้เรามีแรงขับเคลื่อนในการลดครั้งนี้มาก ส่วนแฟนคือกำลังใจชิ้นโตเลย มากกว่าคำพูดให้กำลังใจในทุกวันแล้ว แฟนยังให้เงินสูบฉีดในการลด ถ้าลดลงทุก 10 kg. จะได้เงิน 1,000 บาท ใช้เงินมาเป็นข้อต่อรอง ช่วงไหนไม่มีเงินก็จะฟิตทำยอดหน่อย55555 อาหารการกินแฟนก็จะเป็นคนดูแลซะส่วนใหญ่

     อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักมันต้องใช้ใจสู้มาก ถ้าขาดกำลังใจจากคนรอบข้างไป เปอร์เซ็นที่ลดสำเร็จมันจะน้อยลง ใครที่คนรอบข้างจะลดน้ำหนักต้องมั่นให้กำลังใจเสมอๆ นะ มันคือสิ่งที่ดีที่สุด

 

ตอนเรียนจบปี 4 ต้นปี 61

 

 

     ปัจจุบันเราน้ำหนัก 67 kg. สูง 165 cm. น้ำหนักมันอาจจะยังไม่น้อย รูปร่างมันอาจจะยังไม่ผอมเท่าคนอื่น แต่สำหรับเรามันคือที่สุดในชีวิตแล้ว
ใครจะไปคิดว่า จากคนที่หนักร้อยกว่าในปีที่แล้ว จะลดได้ขนาดนี้ เป้าหมายต่อไปคือก่อนแต่งงานอยากจะลดให้เหลือสัก 55-60 kg. ไม่รู้จะทำได้มั้ย
ขอให้ทำได้หละกัน5555🙏🏻

 

ปัจจุบัน เดือน ก.ย - ต.ค. 62

 

 

สุดท้าย
อยากจะให้กำลังใจคนที่กำลังลดน้ำหนัก เราเชื่อว่าถ้าตัวเราเองคิดจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเรามุ่งมั่นพอ ตั้งใจพอ
สิ่งที่เราเลือกทำมันไม่ไกลเกินไป แค่ลดน้ำหนักมันไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าตั้งใจทำ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อยากลดลดเลยไม่ต้องรอพรุ่งนี้
ไม่งั้นไม่ได้ลดแน่ๆ วันไหนท้อดูเราไว้อ้วนมาตั้งแต่เด็ก จาก 107 kg. ยังลดได้เลย เราทำได้ทุกคนในโลกก็ทำได้

“เราผอมลงกว่าแต่ก่อน แต่ไม่ได้แปลว่าเราผอมแล้ว”

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Instagram : wnc.goodhealth และกระทู้จาก Pantip.com

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง