Van Cleef & Arpels เปิดตัวคอลเลกชัน Alhambra Rose Gold Guilloché
พันธการวัสดุล้ำค่าอันทรงแบบฉบับ นับแต่แรกเริ่ม คอลเลกชัน Alhambra ก็ครองตำแหน่งหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการออกแบบของ Van Cleef & Arpels อย่างโดดเด่นด้วยรูปทรงโมทิฟ อันเอื้ออำนวยต่อการพลิกแพลงไปเป็นเครื่องประดับรูปแบบต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับกระแสความนิยมผ่านการเลือกใช้วัสดุอันหลากหลาย ร่วมกับรายละเอียดตกแต่ง สำหรับคอลเลกชันล่าสุด โมทิฟอันเป็นที่รู้จัก และจดจำได้ในทันที ได้ถูกนำมาร้อยเรียงสลับเฉดก่อลีลาอันกลมกลืนบนตัวเรือนสร้อยข้อมือ และสร้อยคอยาว Vintage Alhambra (วินเทจ อัลลองบรา) กับนาฬิกาข้อมือ Sweet Alhambra (สวีท อัลลองบรา) เพื่อมอบประกายแสงเรืองรองสุกสกาวของทองคำสีกุหลาบคั่นจังหวะกับเฉดส้มอมแดงอบอุ่นละมุนตาของโมราสีเพลิง หนึ่งในรงคศิลาซึ่งเมซงชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้น สำหรับแผ่นโมทิฟทองคำสีกุหลาบ ก็ยังทวีคุณสมบัติในการเร่งความเข้มแสงสะท้อนให้สว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้นด้วยงานฝีมือสลักลายริ้วรัศมีตะวันหรือ “กวิโญเช” (guilloché) ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำคอลเลกชันมาตั้งแต่ปี 2018 บรรดาลายริ้วเส้นตรงไล่เรียงสลับลีลาสันเหลี่ยมกับร่องหยักต่อเนื่อง ต่างทอดยาวออกมาจากศูนย์กลางเดียวกันบนประติมากรรมลายนูนเล่นเหลี่ยมมุมคมชัด ก่อผลลัพธ์คล้ายลำแสงในวงรัศมีสาดส่องของดวงรวี อำนวยต่อการสะท้อนแสงตกกระทบสู่กันจนกลายเป็นประกายสุกสว่างเจิดจ้าสะกดสายตา
สร้อยคอยาวอัลลองบรา (Alhambra) 20 โมทิฟ
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบรองรับงานประดับทองคำสีกุหลาบสลักลายริ้วรัศมีตะวัน และโมราสีเพลิง
และเพื่อสืบทอดธรรมเนียมแบบฉบับในการตกแต่งรายละเอียดเครื่องประดับ Alhambra อันมีมานับแต่เริ่มสรรคสร้าง เหล่าลูกปัดทองกลมกลึง ต่างถูกนำมาเรียงตัวเดินขอบรอบแผ่นโมทิฟแต่ละชิ้นอย่างงามสง่า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นในการสะท้อนไหวพริบทางการพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญด้านงานหัตถศิลป์ของ Van Cleef & Arpels นอกจากนั้น ยังมีการนำลูกปัดทองเม็ดเดี่ยวมาฝังประดับลงตรงกึ่งกลางโมทิฟทองสลักลายริ้วรัศมีตะวัน เพื่อให้ประกายสุกสกาวช่วยทวีความโดดเด่นแก่ชิ้นงาน
สร้อยข้อมืออัลลองบรา (Alhambra) 5 โมทิฟ
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบรองรับงานประดับทองคำสีกุหลาบสลัก
ลายริ้วรัศมีตะวัน และโมราสีเพลิง
นาฬิกาข้อมือสวีท อัลลองบรา (Sweet Alhambra)
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบรองรับงานประดับทองคำสีกุหลาบสลักลายริ้ว
รัศมีตะวัน และโมราสีเพลิง กลไกขับเคลื่อนระบบควอร์ตซ์สวิส
ความคิดสร้างสรรค์ควบคู่ความชำนาญ
ด้วยรูปทรงอันอำนวยต่อการใช้อิสระทางความคิด ผลงานอัลลองบราแต่ละคอลเลกชัน จึงสามารถทำการรังสรรค์ความสดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงถึงศิลปะในการสวมใส่เครื่องประดับนับตั้งแต่มีการสรรค์สร้างขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1960 ล่าสุด ธรรมเนียมนิยมต่อโมทิฟทรวดทรงงามสง่าจำลองแบบใบโคลเวอร์สี่แฉกได้ปรากฏความงดงามผ่านงานออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน นั่นก็คือแหวนแฟชั่น อันโดดเด่นจากหัวแหวนซึ่งสามารถหมุนพลิกสลับด้านไปมาได้ หัวแหวนรุ่นนี้ ประกอบขึ้นจากงานประกบสองวัสดุล้ำค่าไว้ต่างด้าน โดยด้านหนึ่งเป็นโมราสีเพลิง ส่วนอีกด้านเป็นทองคำสีกุหลาบสลักลายริ้วรัศมีตะวันกวิโญเชฝังเพชรเดี่ยวตรงกึ่งกลาง ติดตั้งอยู่บนโครงสร้างอ่อนช้อยของเรือนแหวนลูกปัดทองกลมกลึงเรียงเม็ดไล่ขนาดลดหลั่นอย่างต่อเนื่องสามแถว เป็นงานออกแบบซึ่งผ่านการคำนวณค่าสัณฐานมาโดยเฉพาะเพื่อให้มั่นใจถึงสมรรถนะในการเกาะข้อนิ้วได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังเอื้อต่อการฝังเดือยติดตั้งแผ่นโมทิฟให้หมุนพลิกได้องศาอันเหมาะสม คงระนาบได้ระดับอย่างงดงาม และกว่าจะให้กลไกหมุนแผ่นโมทิฟหัวแหวนทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องอาศัยงานวิจัยพัฒนาขึ้นแบบหลายต่อหลายครั้ง เหนืออื่นใด แหวนแต่ละวงล้วนเป็นงานฝีมือประกอบ, ติดตั้ง และจัดตำแหน่งชิ้นส่วนองค์ประกอบอย่างวิจิตรบรรจง
แหวนอัลลองบรา (Alhambra) โมทิฟหัวแหวนพลิกสลับด้านได้
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบรองรับโมทิฟหัวแหวนทองคำสีกุหลาบสลัก
ลายริ้วรัศมีตะวันเกสรเพชรกับโมทิฟหัวแหวนโมราสีเพลิง
คุณสมบัติสวมสบาย ยังเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันถึงความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียดอันเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของ Van Cleef & Arpels ด้านในของตัวเรือนแหวนได้รับการกรุรองปลอกทองคำครึ่งวงอ่อนช้อย อำนวยต่อการโอบกระชับรอบข้อนิ้วอย่างแนบเนียน สำหรับระดับความสูงของการฝังหุ้มเพชรเดี่ยวใจกลางแผ่นโมทิฟหัวแหวนด้านที่รองรับงานสลักลายริ้วรัศมีตะวันกวิโญเชนั้น ก็ยังอาศัยความถี่ถ้วนในการคำนวณเพื่อป้องกันไม่ให้เหลี่ยมแหวนกดเนื้อผิวก่อความระคายเคืองระหว่างพลิกโมทิฟด้านโมราสีเพลิงขึ้นเป็นหัวแหวน อีกทั้งยังเป็นการถนอมประกายสุกสว่างของอัญมณีไม่ให้หมองหม่นจากคราบเหงื่อท้ายสุด ในส่วนของโมราสีเพลิงหรือคาร์เนเลียนนั้น ก็ยังผ่านการเลือกสรรโดยพิจารณาถึงคุณสมบัติในแง่ของระดับความโปร่งแสงเพื่อเอื้อต่อการลำเลียงแสงส่องผ่านลงไปตกกระทบบนพื้นทองของตัวเรือนแผ่นโมทิฟ จึงเท่ากับว่าแสงที่สะท้อนกลับจะช่วยเร่งประกายสุกสว่างให้หินโมราชนิดนี้อย่างเจิดจรัสขั้นตอนต่างๆ ทางการผลิตตามแต่ละลำดับ นำมาซึ่งเรือนแหวนอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่าหรูหรา ควรค่าแก่การเป็นเครื่องประดับความงาม อีกทั้งยังมอบความหลากหลายในการพลิกแพลงรูปแบบ เป็นบทสะท้อนถึงธรรมเนียมนิยมของเมซง ที่มีต่อการออกแบบสร้างสรรค์เครื่องประดับ ซึ่งสามารถดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้อย่างชัดเจน
แหวนอัลลองบรา (Alhambra) โมทิฟหัวแหวนพลิกสลับด้านได้
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบรองรับโมทิฟหัวแหวนทองคำสีกุหลาบสลักลาย
ริ้วรัศมีตะวันเกสรเพชรกับโมทิฟหัวแหวนโมราสีเพลิง
ทุกแง่มุมความเป็นเลิศของ
เมซงเครื่องประดับชั้นสูง
เพื่อเป็นหนึ่งในตัวแทนธรรมเนียมนิยมต่อความเป็นเลิศของ Van Cleef & Arpels คอลเลกชัน อัลลองบรา แสดงให้ประจักษ์ถึงความชำนาญต่างแขนงในทุกแง่มุมอย่างครบครันของเมซงผู้ผลิตเครื่องประดับชั้นสูง ตั้งแต่งานเจียระไนอัญมณีไปจนถึงงานขึ้นตัวเรือนโลหะ และจากงานฝังรัตนชาติขึ้นตัวเรือนไปจนถึงงานขัดผิว ผลงานแต่ละชิ้น จำต้องอาศัยทักษะชั้นสูงของช่างหัตถศิลป์ต่างสาขาอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน เพื่อให้ทุกผลงานตรงตามมาตรฐานระดับสูงของเมซง บรรดารัตนชาติทั้งหลาย ล้วนผ่านการตัดแผ่นตามรูปทรงโมทิฟที่ออกแบบไว้อย่างระมัดระวัง และผ่านการขัดผิวอย่างพิถีพิถันครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนนำมาเทียบสี พิจารณาถึงความสม่ำเสมอ และกลมกลืน และก็เหมือนกับทองคำสลักลายกวิโซเช รงคศิลาเหล่านี้ จรัสประกายสกาวแสงออกมาจากตัวเรือน ซึ่งใช้ซี่หนามเตยปลายลูกปัดกลมกลึงเป็นตัวยึดเดินขอบอย่างแน่นหนา และสง่างาม
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเขี้ยวหนามเตยปลายลูกปัดทรงกลมถูกดัดพับลงมาอย่างประณีต แม่นยำเพื่อยึดแผ่นโมทิฟรัตนชาติบนตัวเรือนอย่างแน่นหนาจนดูคล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อทอง ก็มาถึงขั้นตอนของการขัดผิวขึ้นเงาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทวีความงดงามของเครื่องประดับในภาพรวม
งานแผ่นขัดผิวตัวเรือนวงแหวนก่อนฝังโมทิฟ
การฝังแผ่นโมทิฟโมราสีเพลิง
ความตระการตาของวัสดุเลอค่า
ธรรมชาติ เป็นที่พึ่งพาของเมซงมาตลอด ทั้งในแง่ของแรงบันดาลใจ และแหล่งกำเนิดวัสดุเลอค่าทรงคุณภาพอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโมราสีเพลิงคาร์เนเลียน (carnelian), แม่มุกมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ล (mother-of-pearl), หินไข่นกการเวกเทอร์คอยซ์ (turquoise), นิลกาฬออนิกซ์ (onyx), โมราแกลเซโดนี (chalcedony), พลอยนกยูงมาลาไคท์ (malachite), ไม้เกล็ดงูสเนควูด (snakewood) และอื่นๆ อีกมากมาย วัสดุล้ำค่าเหล่านี้ ก็หาได้ต่างอันใดจากเพชรน้ำงาม ซึ่งล้วนผ่านการคัดสรรอย่างพิเคราะห์ให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานสูงสุด ด้วยเหตุนี้ จึงมีวัสดุเพียง 1% เท่านั้นจากทั้งหมดที่ทรงคุณค่าคู่ควรต่อการนำมาสรรค์สร้างเครื่องประดับ Alhambra
โมราสีเพลิง
โมราสีเพลิงหรือคาร์เนเลียน (carnelian) จัดเป็นรงคศิลาชนิดหนึ่งในกลุ่มของหินโมราแกลเซโดนี (chalcedony) ซึ่งแตกสายมาจากผลึกแร่ตระกูลควอร์ตซ์ Van Cleef & Arpels พิถีพิถันอย่างยิ่งในการเลือกใช้แต่เพียงเสี้ยวอณูจากบรรดาหินดิบ หรือหินหยาบ เพื่อให้ได้วัสดุชั้นเลิศอย่างที่สุด มอบสีสดชัดอย่างที่สุด จากแดงเข้มไปจนถึงสีส้มสว่าง ทอประกายเงางามระดับสูง จากวัสดุตั้งต้น ช่างเจียระไนทั้งหลายต่างร่วมกันสร้างสรรค์ ตัดเจียน และเจียระไนชิ้นส่วนองค์ประกอบให้มีความกลมกลืนกันอย่างลงตัว ทั้งในแง่ของเฉดสี และระดับความโปร่งแสง หรือทึบแสง นอกจากนั้น เมซงยังคำนึงถึงคุณภาพระดับสูงสุดในขั้นตอนของการขัดผิวขึ้นเงาด้วยต้องการเผยความงดงามของรัตนชาติแต่ละชิ้นให้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่
ทองคำสีกุหลาบ
Van Cleef & Arpels ใช้ทองคำสีกุหลาบ (rose gold) สรรค์สร้างเครื่องประดับมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ทั้งในแง่ของการเป็นโครงสร้างตัวเรือน และเป็นรายละเอียดตกแต่ง จากตลับแป้งไปจนถึงกระเป๋าถือทรงกล่อง “มิโนดิเอร” (Minaudière) ตลอดจนสร้อยข้อมือ และนาฬิกาข้อมือ ซึ่งอาศัยแรงบันดาลใจจากงานศิลปะยุคใหม่ในการออกแบบระหว่างทศวรรษ 1930 เป็นเวลากว่าหลายปีที่ทองคำสีกุหลาบมีบทบาทโดดเด่นร่วมกับทองคำสีขาว และทองคำสีเหลือง ดังจะเห็นได้จากงานเดินลายประกอบบนโมทิฟสไตล์แอ็บสแตร็ก อันเป็นที่นิยมอย่างสูงระหว่างทศวรรษที่ 1970 ถึง 1990 เมซงออกแบบสูตรหลอมทองคำสีกุหลาบตำรับเฉพาะของตนขึ้นจากการใช้ทองคำแท้, ทองแดง และเงินผสม เพื่อให้โลหะเลอค่าที่ได้ คงความงดงามทั้งในแง่ของเฉดสี และประกายเงางามให้แก่เครื่องประดับแต่ละชิ้นอย่างต่อเนื่องระยะยาว อย่างเช่นงานสลักลายริ้วรัศมีตะวัน “กวิโญเช” (guilloché) ซึ่งสะท้อนแสงตกกระทบจรัสประกายสว่างอย่างอบอุ่นละมุนตาบนตัวเรือนเครื่องประดับที่ผ่านการสรรค์สร้างอย่างบรรจง
กว่าห้าสิบปีแห่งการสร้างสรรค์
“ถ้าอยากมีโชค เราก็ต้องเชื่อในโชค” เป็นคำกล่าวติดปากของฌาคส์ อารเปลส์ หลานชายของเอสแต็ลล์ อารเปลส์ อันที่จริง ค่านิยมนี้เป็นแรงบันดาลใจในงานสรรค์สร้างของเมซงอย่างต่อเนื่องมานับแต่ก่อตั้ง ส่วนตัวของฌาคส์ อารเปลส์เองนั้น ก็เชื่อว่าเครื่องประดับสักชิ้น สมควรเป็นเครื่องรางนำโชคให้แก่ผู้เป็นเจ้าของยามสวมใส่ นอกจากนั้น เขายังมักเด็ดใบโคลเวอร์สี่แฉกที่พบเจอในสวนหลังบ้านพักของตนย่านแฌร์มิญี-ลีเวค ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครปารีสมาให้แก่สมาชิกในทีมของตนพร้อมแนบบทกวี “อย่าหยุดยั้ง” (Don’t Quit) เพื่อเป็นเครื่องเตือนในให้ทุกคนมีความหวังตลอดไป
ในปี 1968 Van Cleef & Arpels ได้ให้กำเนิดเครื่องประดับนำโชคอย่างแท้จริงผ่านการสรรค์สร้างสร้อยคอยาวอัลลองบราชิ้นแรกขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากทรวดทรงของใบโคลเวอร์สี่แฉก สัญลักษณ์นำโชคซึ่ง อาศัยงานออกแบบอันลงตัวในการร้อยโมทีฟ 20 แผ่นทำจากทองคำสีเหลืองอัดลายริ้วประดับงานเดินขอบรอบด้วยลูกปัดทองรุ่นนี้ ประสบความสำเร็จในทันที และกลายเป็นหนึ่งในผลงานสัญลักษณ์ประจำเมซงอย่างรวดเร็ว งานออกแบบดำรงความโดดเด่นเป็นหนึ่ง เป็นที่รู้จัก และจดจำได้ในทันทีมาอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษ อีกทั้งยังสะท้อนถึงสไตล์เหนือกระแสความนิยมทางยุคสมัยของ Van Cleef & Arpels รวมถึงไหวพริบชั้นเลิศในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญด้านต่างๆ เชิงหัตถศิลป์ เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษที่คอลเลกชันอัลลองบราไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนารูปแบบให้รุดหน้า ก่อกำเนิดผลงานต่างรุ่นมากมาย ให้ความหลากหลายทางตัวเลือกทั้งในแง่ของขนาดและวัสดุ ขณะเดียวกัน ก็ยังดำรงลักษณะเฉพาะตัวจากผลงานรุ่นต้นแบบไว้ได้อย่างเป็นเลิศ งานออกแบบอันเอื้ออำนวยต่อความต่อเนื่องในการรังสรรค์ศิลปะเครื่องประดับให้สอดคล้องไปกับจิตวิญญาณของแต่ละยุคสมัย ทำให้อัลลองบราครองตำแหน่งเครื่องประดับร่วมสมัยอย่างแท้จริง