รีเซต

Solstice by Piaget – Chapter 2 จิวเวลรี่ชั้นสูงภาคต่อ ปาร์ตี้ใต้แสงจันทร์

Solstice by Piaget – Chapter 2 จิวเวลรี่ชั้นสูงภาคต่อ ปาร์ตี้ใต้แสงจันทร์
pommypom
28 ตุลาคม 2565 ( 17:50 )
165

     หลังเพียเจต์นำเสนอบทแรกของผลงานไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่น Solstice by Piaget  อย่าง When dusk sets ที่จำลองความงดงามมาจากลุคอันตราตรึงของเสื้อผ้าโอตกูตูร์ที่บรรดาเพียเจต์ โซไซตี้หยิบมาสะท้อนตัวตน ล่าสุดกับ Give us the Night เรื่องราวภาคต่อที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกที่สนุกสนานในบรรยากาศปาร์ตี้ใต้แสงจันทร์

 

 
     ใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะชวนอบอุ่น เสียงสะท้อนขณะชนแก้ว ปาร์ตี้ที่กำลังไต่ระดับ ไปจนถึงค็อกเทลเลิศรสที่ไหลรินลงสู่แก้ว ทั้งหมดนี้คือ แรงบันดาลใจที่ผสมผสานออกมาเป็นแก่นหลักของชิ้นงานในธีมล่าสุดนี้ และนี่คือ Give us the Night จาก Solstice by Piaget Chapter 2

 

 


 
     ย้อนกลับไปปี 1920 ซึ่งเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของอเมริกา หนึ่งในเทรนด์ที่หญิงสาวหัวสมัยใหม่ยุคนั้นขาดไม่ได้ คือการสวมแหวนวงใหญ่ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ "แหวนค็อกเทล" - ปี 2009 ด้วยความที่ยึดมั่นในตัวตนที่สนุกสนาน ทั้งยังหลงใหลในความท้าทายทางเทคนิค เมซงจึงตัดสินใจนำแนวคิดนี้ไปสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานจริง โดยหยิบยืมแรงบันดาลมาจากศาสตร์และศิลป์อันงดงามในโลกของ Mixology ผลงานที่ได้จึงคละคลุ้งไปด้วยสีสัน ความสนุก ไอเดียที่แปลกใหม่ ชวนให้นึกถึงค็อกเทลแก้วโปรดได้ไม่ยาก 

 
     มาปีนี้แหวนค็อกเทลถูกหยิบมารังสรรค์อีกครั้ง โดยช่างฝีมือใช้เวลาหลายเดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการทั้งในแง่ขนาด สี ไปจนถึงเท็กซ์เจอร์ของวัสดุที่นำมาเป็นองค์ประกอบของส่วนผสมค็อกเทล ขณะเดียวกันนักอัญมณีศาสตร์ก็ต้องเสาะหาอัญมณีเพื่อนำมาเป็นตัวแทนของส่วนผสมต่าง ๆ อาทิ เม็ดทับทิม (แซฟไฟร์สีชมพู), ใบมิ้นท์ (มรกต), น้ำตาลสำหรับตกแต่ง (เพชรที่ฝังแบบเต็มพื้นที่บนตัวเรือน), ก้อนน้ำแข็ง (เพชรหยาบ), ไลม์หั่นแว่น (เพอริดอตแกะสลัก) 
 
     เพื่อประกอบจิวเวลรี่แต่ละเม็ดเข้าด้วยกัน ทักษะฝีมือชั้นสูงจึงถูกนำมาใช้หลากหลายเทคนิค อาทิ แผ่นผลไม้ที่สไลด์เป็นแว่น ใช้ปรมาจารย์ทางด้าน glyptic ที่บรรจงแกะสลักหินสีด้วยมือ ก่อนประดับบนตัวเรือนตามตำแหน่งที่ดีไซน์ไว้ ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำและประณีตขั้นสูง เพื่อให้ทุกองค์ประกอบสามารถสวมเข้ากันได้อย่างพอดี ขณะที่ตัวเรือนหลักที่ประดับอัญมณีขนาดใหญ่ไว้ตรงกลาง สามารถหยิบมาสวมใส่แบบเดี่ยวก็เรียบเก๋ไม่แพ้กัน นับเป็นอีกครั้งที่เมซงสะท้อนค่านิยมด้านความคิดสร้างสรรค์และไอเดียการปรับเปลี่ยนรูปแบบได้อย่างไร้ที่ติ

 
     ต่อกันที่สร้อยคอที่หลอมรวมลูกเล่นสนุก ๆ และสไตล์เรียบหรูของเครื่องดื่มไอคอนนิคไว้ด้วยกัน โดยสีได้แรงบันดาลใจจากโทนอันอบอุ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีน้ำตาลเข้ม ขณะที่กรอบทองทรงสี่เหลี่ยมที่ล้อมรอบเพชรเอาไว้ เปรียบดั่งก้อนน้ำแข็งที่อยู่ในเครื่องดื่มสไตล์ On The Rock ที่เหล่าเพียเจต์ โซไซตี้ชื่นชอบนั่นเอง


 
      ไม่เพียงแต่ไลน์เครื่องประดับ ในพาร์ทนาฬิกาไฮจิวเวลรี่ก็ทำออกมาอย่างยอดเยี่ยม อาทิ นาฬิกา Joyful Sharing โดดเด่นด้วยหน้าปัดที่วิจิตรบรรจง ชวนให้นึกถึงสูตรค็อกเทลที่เสิร์ฟในแก้วใบหรู เพื่อครีเอทผลงานอันน่าทึ่งทั้งยังแสดงให้เห็นถึงระดับความเชี่ยวชาญของเมซง แบรนด์ได้คอลลาบอเรชั่นกับศิลปินชั้นครู อย่าง Anita Porchet และ Dick Steenman

      เริ่มต้นชิ้นงานด้วยฝีมือแกะสลักของ Dick Steenman ที่เนรมิตส่วนผสมหลักของค็อกเทล อย่าง ไลม์หั่นแว่น และ ใบมิ้นท์ได้อย่างมีมิติ ก่อนส่งต่อให้ Anita Porchet แต่งแต้มสีสันด้วยการเคลือบสีลงยาแบบโปร่งแสง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของก้อนน้ำแข็ง และ ใบมิ้นท์ ที่สมจริงยิ่งขึ้น ในแง่ข้อจำกัดเรื่องความหนาของหน้าปัด ช่างฝีมือจำเป็นต้องอาศัยทักษะความชำนาญขั้นสูงในการปรับแต่งแต่ละชิ้นส่วน เพื่อรักษาสมดุลของหน้าปัดให้เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อความแม่นยำของเรือนเวลา

 
     เสน่ห์งานฝีมืออันน่าเหลือเชื่อของ Anita Porchet ยังปรากฏบนเรือนเวลาชิ้นอื่นอีกด้วย อย่างดีเทลโมทีฟมะนาวสไลด์บนพื้นหน้าปัดนาฬิกา Festive Sharing ที่ถ่ายทอดผลงานผ่านหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น champlevé, paillonné เพื่อแต่งแต้มจินตนาการให้มีมิติมากที่สุด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ Anita ชื่นชอบ และร่วมงานกับเพียเจต์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2006 

 


 
     เพราะความคิดสร้างสรรค์ นั้นไร้ขีดจำกัด และการได้คอลลาบอเรชั่นกับเหล่าศิลปิน คือความน่าหลงใหล... นาฬิกา Gleaming Savor จึงเป็นหนึ่งในเรือนเวลาไม่ธรรมดาที่รังสรรค์โดย Rose Saneuil ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญในการนำเสนอชิ้นงานผ่านเทคนิคมาร์เก็ตทรี ในแต่ละครั้งศิลปินจะเลือกใช้วัสดุที่น่าเหลือเชื่อมารังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ฟางข้าว, ไม้ซิคามอร์, ปีกแข็งของแมลง เพื่อให้ได้เรือนเวลาเพียงหนึ่งเดียวในโลก และถึงแม้หน้าปัดจะเรียบเป็นระนาบเดียวกัน แต่ด้วยฝีมือของ Saneuil จึงส่งให้วัสดุแต่ละชิ้นร้อยเรียงได้อย่างมีมิติและเปล่งประกายอย่างงดงามยามต้องแสง ผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นนี้ใช้วัสดุสำหรับงานมาร์เก็ตทรี 177 ชิ้น โดยองค์ประกอบที่น่าสนใจอีกอย่าง คือการหยิบเอาเพชรทรงบาแก็ตต์มาประดับแบบกลับด้านลงบนขอบตัวเรือน ทำให้ดูแปลกตากว่าที่เคยและเป็นอีกผลงานศิลป์ที่น่าจดจำ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง